รู้จักที่มาของ Emoticon และ Emoji

Post Reply
brid.ladawan
Posts: 7045
Joined: 29 Mar 2013, 13:36

รู้จักที่มาของ Emoticon และ Emoji

Post by brid.ladawan »

รู้จักที่มาของ Emoticon และ Emoji

หลายท่านคงเคยใช้สัญลักษณ์หรือการพิมพ์ให้ดูเหมือนสื่ออารมณ์ถึงผู้รับว่า ผู้ส่งคิดอย่างไรและมีอารมณ์ยังไง ก่อนที่สัญลักษณ์แทนอารมณ์จะได้รับความนิยมในพวกโปรแกรมแชตในปัจจุบัน ลองมาดูย้อนหลังกันว่า Emoji กับ Emoticon มีที่มาอย่างไรบ้าง

Emoticon เป็นคำภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า emotion ที่แปลว่าอารมณ์ และคำว่า icons ที่แปลว่ารูปสัญลักษณ์ ดังนั้น emoticons คือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนอารมณ์โดยสัญลักษณ์ข้อความบนคอมพิวเตอร์ที่คุณพบ และเรียกมันว่า Emoticons อย่างเช่น :-) แทนหน้ายิ้ม หรือ :-( แทนหน้าเศร้า

ทั้งนี้สัญลักษณ์ Emoticon นี้ เกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 1982 โดย Scott Fahlman ได้โพสต์สัญลักษณ์ :- ) และ :- ( บนกระดานข่าวสารของ มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และสัญลักษณ์ดังกล่างนี้ ถูกแพร่กระจาย และถูกนำมาใช้บน เครือข่าย ARPANET และ Usenet พร้อมกับประดิษฐ์อีโมติคอนแบบอื่นๆด้วย


ต่อมาในปี 1986 ที่ญี่ปุ่น ก็ประดิษฐ์สัญลักษณ์ที่ต่อยอดจาก Emoticon มาเป็นลายสไตล์ญี่ปุ่นอีกแบบ เรียกว่า Kaomoji เช่น (^_^) (@^-^) (T_T) ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยกำเนิดขึ้นบนระบบเครือข่าย ASCII NET ของประเทศญี่ปุ่น

Emoji นั้น เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ที่เป็นการผสมคำระหว่างคำว่า e (絵) หมายถึง รูปภาพ. และ moji (文字) หมายถึง ตัวอักษร รวมเป็นอักษรภาพ ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้เริ่มนำ Emoji มาใช้เมื่อปี 1995 โดยเริ่มใช้กับ Pager ซึ่งค่าย NTT docomo ผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ให้บริการ โดยเพิ่มสัญลักษณ์รูปหัวใจต่างๆ เข้าไปในระบบ ให้ข้อความสามารถส่งหากันสนุกมากขึ้น แต่ต่อมา ในเพจเจอร์รุ่นใหม่ ก็ตัดสินใจถอดฟีเจอร์ส่งรูปหัวใจออก เพราะต้องการให้เครื่องรองรับตัวอักษรคันจิและอักษรละตินด้วย วัยรุ่นจึงเลิกใช้

และแล้ว NTT docomo ต้องหาทางพัฒนาอิโมจิอีกครั้ง โดยลุยพัฒนา i-mode เมื่อเดือนกุุมภาพันธ์ 1999 ซึ่งเป็นระบบโทรศัพท์ที่สามารถเรียกดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้เป็นรายแรกๆ ของโลก จึงนำ Emoji เข้าไปใส่ในระบบที่กำลังจะวางตลาดด้วย

โดยผู้สร้าง Emoji คนแรก คือ Shigetaka Kurita ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสมาชิกในทีม i-mode ได้อธิบายถึงที่มาและเบื้องหลังเกี่ยวกับการสร้าง Emoji ว่า การสื่อสารด้วยตัวอักษรแบบ Emoticon มันยุ่งยากมากในการทำให้สื่ออารมณ์ได้ จดหมายขอโทษหรืออะไรต่างๆ ของญี่ปุ่นจึงต้องเขียนกันยืดยาวเพื่อแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หรือใช้ Kaomoji ที่รวมหลายๆ ตัวอักษรขึ้นมาเพื่อแสดงอารมณ์ แต่ทั้งคู่มันก็ต้องพิมพ์ยืดยาว ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์บนโทรศัพท์มือถือ เขาต้องการอะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้รับสารเข้าใจได้ทันที ด้วยสัญลักษณ์อารมณ์ต่างๆ ที่บ่งบอกชัดเจน อย่าง Emoji

คุณ Kurita ได้ออกแบบ Emoji เองถึง 176 แบบ ด้วยขนาดพื้นที่เพียง 12×12 พิกเซลเท่านั้น และต้องวางจุดขาว-ดำให้ดูเป็นรูปด้วย

และเมื่อ Emoji ถูกใส่เข้าไปใน i-mode ทำให้ได้รับความนิยมสูงจน KDDI หรือ SoftBank ก็เลยเอามาทำด้วย ทำให้สัญลักษณ์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัญหาเช่นกัน คือ มือถืออีกค่ายหนึ่งส่ง Emoji ไปอีกค่ายหนึ่งแล้วมองไม่เห็นสัญลักษณ์ ทำให้ทั้ง 2 ค่ายนี้ ต้องเข้ามามาตกลงกันแล้วตั้งเป็นมาตรฐานกลางของญี่ปุ่น

ปัจจุบัน Emoji ก็ก้าวเข้าสู่ระดับโลก และมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อมีการกำหนดอักขระภาพและอารมณ์ต่างๆ เข้ามาตรฐาน Unicode 6.0 อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2010 และอุปกรณ์ iOS เริ่มเปิดให้ใช้แป้น Emoji อย่างเป็นทางการในปี 2011ด้วย อีกทั้งมีโปรแกรมแชตอื่นๆก็ทำ Emoji มากมาย จนทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เวลาคุยกับเพื่อน ก็มักจะใส่ข้อความพร้อมกับสัญลักษณ์แทนอารมณ์อย่าง Emoji อยู่เสมอ

ข้อมูลจาก Kaomoji.ru , independent.co.uk , The Verge
หมวดหมู่: social trend, บทความไอที 24 ชั่วโมง
ป้ายกำกับ: android, chat, emoji, emoticon, facebook, history, iOS, iphone, line, Scott Fahlman, Shigetaka Kurita, story, twitter, ที่มา, ประวัติ, สัญลักษณ์, สื่ออารมณ์, แชท

วันที่: 6 กรกฎาคม 2015
Post Reply

Return to “แจ้งข่าว ไทย ERP และข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ”