สศค.จ่อรื้อเงื่อนไขแอลทีเอฟ แบไต๋หากต่ออายุยืดระยะเวลาการถือ

[brid.siriwan]

สศค.จ่อรื้อเงื่อนไขแอลทีเอฟ แบไต๋หากต่ออายุยืดระยะเวลาการถือครอง


สศค.ยังไม่ชี้ชะตาต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุนแอลทีเอฟที่หมดอายุปี 59 แย้มหากผลศึกษาออกมาแล้วทำต่อไป ต้องขยายระยะเวลาการถือครองให้ยาวขึ้น เพื่อเป็นตามวัตถุประสงค์ส่งการออมที่แท้จริง

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเพิ่มจำนวนปีการถือครอง และการลดวงเงิน ที่สามารถหักลดหย่อนภาษี อาจเป็นทางเลือกในการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ แอลทีเอฟ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟ ซึ่งจะหมดอายุในปี 2559 นั้น สศค.กำลังพิจารณาว่า สมควรที่จะขยายอายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวหรือไม่ และยังไม่สรุปในขณะนี้ว่าจะต่ออายุ หรือจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

อย่างไรก็ตาม สศค.จะต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียของการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า เป็นการเอื้อต่อคนรวย ขณะที่ฝั่งสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ผลักดันแนวคิดการต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟ โดยกลับมองว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแอลทีเอฟเป็นการส่งเสริมการออม และพัฒนาตลาดทุนไทย

“สศค.จะนำประเด็นต่างๆมาพิจารณา ซึ่งทางเลือกหนึ่งที่จะให้คงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟก็คือ การขยายระยะเวลาการถือครองแอลทีเอฟให้ยาวนานขึ้น จากปัจจุบันถือครองเพียง 5 ปีตามปีปฏิทิน ซึ่งเมื่อนับระยะเวลาถือครองตามปีปฏิทินแล้ว คนลงทุนในแอลทีเอฟจะถือครองเพียง 3 ปีกับสองวัน ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟแล้ว ดังนั้นการขยายระยะเวลาถือครองออกไป เพื่อให้เป็นการออมในระยะยาวตามวัตถุประสงค์ของแอลทีเอฟอย่างแท้จริง”

นายกฤษฎากล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่งคือการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีของแอลทีเอฟ เพื่อมุ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ออมรายย่อยอย่างแท้จริง จากปัจจุบันที่กรมสรรพากรให้ผู้ลงทุนในแอลทีเอฟ สามารถนำรายจ่ายที่ลงทุนมาหักลด หย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในปีนั้นแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

นอกจากนี้ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอว่า หากรัฐจะไม่ต่ออายุกองทุนแอลทีเอฟก็ควรจะมีกองทุนลงทุนรูปแบบใหม่ ที่เป็นการลงทุนแบบผสมระหว่างตราสารทุน และตราสาร ที่ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการออมในระยะยาว และช่วยพัฒนาตลาดทุนอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ประธานสภาธุรกิจตลาดทุน ได้ออกมาโต้แย้งกับแนวคิดที่ว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่แอลทีเอฟว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนรวย ว่าความจริงแล้วคนรายได้ปานกลาง จะได้รับผลประโยชน์ทางภาษีเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคนรวย ตัวอย่างเช่น มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ปีละ 300,000 บาท หากลงทุนในแอลทีเอฟ จะประหยัดภาษีได้ถึง 30% แต่หากคนรวยมีรายได้ปีละ 10 ล้านบาท ประหยัดภาษีได้เพียง 6%.

ทีมา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 22 ก.ย. 2557