ททท.นำทัพบุกแดนมังกร ดึงชาวจีนท่องเที่ยววิถีไทย

[brid.siriwan]

ททท.นำทัพบุกแดนมังกร ดึงชาวจีนท่องเที่ยววิถีไทย

อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไทยจะต้องประสบกับวิกฤติทางการเมืองจนทำให้ยอดของนักท่องเที่ยวจีนชะลอการเติบโต อย่างไรก็ตามหลังจากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดจีน

ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวของไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต เนื่องจากรายได้หลักจากภาคการท่องเที่ยวเกินกว่าครึ่ง โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดจากนักท่องเที่ยวเอเชียเติบโตมากขึ้น ที่สำคัญนักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมากว่า 4 ปี หรือกว่า 1 ล้านคน จนทำให้ขณะนี้นักท่องเที่ยวจากแดนมังกรกลายเป็นตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทยไปแล้ว

อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไทยจะต้องประสบกับวิกฤติทางการเมืองจนทำให้ยอดของนักท่องเที่ยวจีนชะลอการเติบโต อย่างไรก็ตามหลังจากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดจีน ด้วยการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยว ส่งผลให้ตั้งแต่ในเดือน ก.ย. จนถึงขณะนี้ พบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอกย้ำให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวจีน โดย นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมหัวเรือใหญ่ด้านการทำตลาดส่งเสริมการท่องเที่ยว อย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้ยกทัพบินข้ามน้ำข้ามทะเล พร้อมภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวจากไทยเข้าร่วม งานไชน่า อินเตอร์ เนชั่นแนล ทราเวล มาร์ท 2014 ที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นงานส่งเสริมการขายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ที่ประเทศต่าง ๆ จากทั่วโลกหวังโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวของประเทศตนเองให้กับผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวจีนรู้จัก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยว

ด้านภายในงานศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความคึกคัก ทั้งผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการรับรู้สินค้าท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพราะด้วยความที่ประเทศจีนเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มโตไปในทางบวก จึงทำให้มีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยบูธของประเทศไทยนำทีมผู้ประกอบการแน่นกว่า 52 ราย มีชาวจีนให้ความสนใจสอบถามไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยต่าง ๆ ที่เรียกความสนใจกว่าบูธจากประเทศอื่น ๆ

’ปี 58 คงได้เห็นนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยจากปีนี้อยู่ที่ 4.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 5.1 ล้านคน ส่วนรายได้ของนักท่องเที่ยวจีนน่าจะแตะถึง 219,000 ล้านบาท เพราะปัจจุบันประเทศไทยตอบโจทย์ของแหล่งท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมาก ทั้งในเรื่องแหล่งท่องเที่ยว และการบริการต่าง ๆ ของไทย ยิ่งในปีหน้า ที่เราจะเปิดปีท่องเที่ยววิถีไทยด้วย ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ชาวจีนสนใจมาท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะชาวจีนเป็นชาติที่ชอบท่องเที่ยวแบบมีสีสัน สนุกสนาน ได้ประสบการณ์แบบใหม่ ๆ ซึ่งการท่องเที่ยววิถีไทยจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับแรก”

ด้าน นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการ ททท. กล่าวถึงกลยุทธ์เด็ดในการทำตลาดดึงนักท่องเที่ยวจีนหลังการประชุมกับ 5 สำนักงาน ททท. ของจีนในปีหน้าว่า ททท. ใช้แนวคิดทำตลาดแบบคู่ขนานดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) และกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่ชอบเดินทางซ้ำ (รีพีทเตอร์) เนื่องจาก 2 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ๆ มีการใช้จ่ายสูงมาก อย่างไรก็ดีหลังจากนี้ ททท. วิเคราะห์เรื่องการอำนวยความสะดวกเรื่องขั้นตอนการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวว่า สามารถจะเร่งขั้นตอนไหนได้เร็วขึ้นบ้าง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวจีนเดินทางมามากขึ้น

’ปีหน้า ททท. มุ่งเป้าไปที่จำนวนรายได้ทางการท่องเที่ยว มากกว่าที่จะโฟกัสเรื่องจำนวน ดังนั้นการทำการตลาดแบบคู่ขนาน จึงมาถูกทางมากที่สุด เพราะกลุ่มนี้ต้องการพักในโรงแรมหรูหรา ราคาแพง และชอบการท่องเที่ยวแบบใหม่ ที่จะได้ไปเที่ยวและบอกต่อคนอื่น ๆ เพราะกระแสนิยมจะนิยมความหรูหรา ยิ่งหรูยิ่งดี”

ด้าน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เพียงการทำตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องควรจะคำนึงถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวของไทยด้วย เพราะมีการวิจัยออกมาจากทางภาครัฐของจีนบอกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 500 ล้านคน แน่นอนไทยติดอันดับ 1 ใน 4 ของประเทศ ที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมา

ท้ายที่สุดนี้ การทำตลาดเพื่อเรียกนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาสู่ไทย ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ในด้านใดก็ตามทั้งภาครัฐและเอกชน ควรที่ต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องแหล่งท่องเที่ยวที่จะค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงไป อีกทั้งความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่ต้องช่วยกันดูแล หวังว่าหน่วยงานในภาคการท่องเที่ยวจะร่วมบูรณาการการทำงานและออกกลยุทธ์ให้ดีที่สุด เพื่อทำให้เพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้.

เอวิกานต์ บัวคง

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557