เศรษฐกิจสหรัฐฯ รับอานิสงส์น้ำมันถูก บลจ.เมย์แบงก์ชี้สภาพคล่อ

Post Reply
brid.ladawan
Posts: 7045
Joined: 29 Mar 2013, 13:36

เศรษฐกิจสหรัฐฯ รับอานิสงส์น้ำมันถูก บลจ.เมย์แบงก์ชี้สภาพคล่อ

Post by brid.ladawan »

เศรษฐกิจสหรัฐฯ รับอานิสงส์น้ำมันถูก บลจ.เมย์แบงก์ชี้สภาพคล่องยังมี

บลจ.เมย์แบงก์ชี้สภาพคล่องในตลาดโลกยังมี จับตาราคาน้ำมันต่ำที่จะดัน ศก.สหรัฐฯ เติบโต ส่วนหุ้นไทย บริษัทจดทะเบียนยังเติบโต แนะทยอยสะสมหากปรับตัวลง ล่าสุดส่ง 4 กองทุนอีทีเอฟ ต่างประเทศ MUS, MEU, MJP, MEM เข้าเทรดตลาดวันแรก เน้นย้ำกระจายการลงทุนรับความผันผวน


นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สภาพคล่องในตลาดโลกยังมีสูง ระดับราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงส่งผลดีต่อการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจโลกมีการเติบโตมากขึ้นกว่าที่คาดในปีหน้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการบริโภคน้ำมันในระดับที่สูง ขณะที่ตลาดหุ้นในปีหน้ายังมองไม่ชัดว่าจะเป็นอย่างไร แต่หากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาก็เป็นโอกาสทยอยลงทุนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มองว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ไม่แพงอยู่ในระดับ 12.5 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นยุโรปก็เป็นโอกาสที่น่าลงทุน

ทั้งนี้ ระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต แต่จะเติบโตได้มากเท่าใดต้องคอยดูตัวเลขผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ในปีหน้า และจะส่งผลไปถึงการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยมองว่ายังไม่มีปัจจัยอะไรให้ต้องปรับขึ้น แต่อาจจะปรับลดลงมากกว่าเพราะเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัว การบริโภคที่ไม่สูง

ดังนั้น การลงทุนในปีหน้าจึงควรจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นไทยที่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว ซึ่งหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาก็สามารถทยอยเข้าลงทุนได้ แต่หุ้นไทยก็ยังมองว่าในปีหน้ายังดีบริษัทจดทะเบียนน่าจะมีกำไรเติบโตที่ระดับ 12% ได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องภาคการส่งออก

นายตรีพล กล่าวต่อว่า ตลาดหุ้นโลกจะยังมีความผันผวนอยู่มากและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้นการกระจายความเสี่ยงจะสำคัญมากยิ่งขึ้น จากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปีจะพบว่า หากกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนโดยแบ่งลงในหุ้นไทย สหรัฐฯ ยูโร ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่ ในสัดส่วนเท่าๆ กัน จะสามารถลดความเสี่ยงของผลตอบแทนได้ถึง 36%

ขณะเดียวกัน บลจ.เมย์แบงก์เองมีแผนจะออกกองทุนอีทีเอฟรูปแบบใหม่ๆ ในปีหน้า โดยเป็นการลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตสูง เน้นการเติบโตของบริษัทที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยไม่ต้องกังวลว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ลูกค้าและผู้ที่สนใจ และจะเน้นการสื่อสารเกี่ยวกับการลงทุนในอีทีเอฟอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและขยายฐานนักลงทุนใหม่ๆ ในตลาด

นายตรีพล กล่าวต่อว่า (เมื่อวานนี้ 15 ธันวาคม 2557) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูเอส อีทีเอฟ (Maybank US ETF: MUS) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF: MEU) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ เจแปน อีทีเอฟ (Maybank Japan ETF: MJP) และกองทุนเปิดเมย์แบงก์ อีเมอร์จิ้ง อีทีเอฟ (Maybank Emerging ETF: MEM) ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยกองทุนทั้ง 4 มีเงินระดมทุนรวมกันได้ 245 ล้านบาท เฉลี่ยเป็นเงินลงทุนประมาณกองทุนละ 60 ล้านบาท โดยมีทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยในอัตราส่วนเท่าๆ กัน

โดยกองทุน MUS จะเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก โดยผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P500 กองทุน MEU จะลงทุนหุ้นของบริษัทชั้นนำในกลุ่มประเทศยุโรปกว่า 200 บริษัท โดยผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI EMU กองทุน MJP จะเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมากกว่า 300 บริษัท ซึ่งผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI Japan

และกองทุน MEM จะเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในตลาดเกิดใหม่กว่า 800 หุ้น โดยผลตอบแทนจะสะท้อนจากความเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI Emerging Markets โดยทั้ง 4 กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิหรือกำไรสะสม


ที่มา ASTV ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 15 ธันวาคม 2557
Post Reply

Return to “แจ้งข่าว ไทย ERP และข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ”