หัตถเวชรุ่นเยาว์’ สืบทอดภูมิปัญญาไทย

[brid.ladawan]

‘หัตถเวชรุ่นเยาว์’ สืบทอดภูมิปัญญาไทย

ถือเป็นการค้นพบ และเป็นดอกผล ที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคุณภาพการเรียนรู้ที่เกิดจาการลงมือปฏิบัติ จากความร่วมมือของทุกคนทุกฝ่ายที่เข้ามามีส่วนร่วม สนับสนุน เอื้อโอกาสให้เด็ก ๆ ได้บ่มเพาะศักยภาพ

ด้วยสภาพสังคมในปัจจุบัน ส่งผลให้การได้รับความรู้ในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนในจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่าง “ระนอง” ซึ่งมีศักยภาพอันโดดเด่น มีต้นทุนทางธรรมชาติเป็นน้ำแร่คุณภาพดี มีปริมาณมาก และกระจายอยู่รายรอบ ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ มีสิ่งแวดล้อมสะอาดสวยงาม บวกกับกระแสธรรมชาติบำบัด จึงกลายเป็นจุดเด่น และจุดขายของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้จังหวัดในแต่ละปีอย่างมหาศาล ส่งผลให้จังหวัดระนองก้าวสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการส่งเสริมเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทางโรงพยาบาลระนอง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด ได้จัดสร้างศูนย์สุขภาพแผนไทยขึ้น ในนาม “เจ้าเรือนสปา” เปิดให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร

ดังนั้นต้นทุนที่ดีในจังหวัดจึงทำให้คณะผู้บริหารและครู “โรงเรียนเทศบาลบ้านเขานิเวศน์” อ.เมือง จ.ระนอง จัดโครงการ “นวดเพื่อสุขภาพ” ขึ้น ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่ต้องการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะอาชีพให้แก่นักเรียน เพราะนอกจากจะเป็นการปูทางสร้างอาชีพให้แก่เด็กในอนาคตแล้ว ยังถือเป็นการสร้างรายได้ระหว่างเรียนให้เด็กอีกทางหนึ่ง พร้อมกับช่วยสืบสานภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่สืบไป

น.ส.กชพร ขวัญทอง ครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ เล่าว่า ศาสตร์ของการนวดแผนไทยเป็นเรื่องยาก คณะครูจึงได้มองหาความรู้และทักษะที่เด็กสามารถทำได้ง่าย ๆ มาพัฒนาให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ โดยเริ่มจากการให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ สมุนไพร รวมไปถึงทักษะและวิธีการนวดแผนไทยขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า การนวดโค้ง คอ บ่า ไหล่ ศีรษะ และการนวดฝ่าเท้า รวมถึงการใช้ลูกประคบ เน้นการนวดเพื่อช่วยผ่อนคลาย โดยเริ่มจากการจัดอบรมให้เด็กที่สนใจที่จะเรียนนวด ทั้งวิธี นวด โค้ง คอ บ่า ไหล่ ศีรษะ และฝ่าเท้า โดยทีมงานแผนไทยจากศูนย์สุขภาพแผนไทยเจ้าเรือนสปา ที่มาช่วยกันถ่ายทอดความรู้ให้กับ เด็ก ๆ ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ตลอดจนสอนทักษะพื้นฐานในการดูแลสุขภาพไปพร้อมกับให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง

ครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ ยังเล่าอีกว่า การนวดแผนไทยจะทำได้เก่ง ทำได้แม่นยำแค่ไหน ต้องเกิดจากการทำซ้ำ ๆ ครูจึงให้โจทย์เด็กกลับไปฝึกฝนต่อ โดยกำหนดให้แต่ละคนต้องเก็บเคส 50 คน เพื่อให้เกิดทักษะความเชี่ยวชาญ ทางโรงเรียนจึงเปิด “ห้องนวดเพื่อสุขภาพ” ขึ้น โดยให้เด็กที่เข้าอบรมการนวดใช้เวลาช่วงเที่ยง และหลังเลิกเรียนช่วงละครึ่งชั่วโมง มาฝึกฝนเคล็ดลับวิชานวด และการให้บริการลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครอง และคุณครูที่หมุนเวียนเข้ามาเป็นเคสให้เด็กได้เก็บชั่วโมงนวด ซึ่งลูกค้าเหล่านี้ คือครูที่ดี ที่ช่วยสะท้อนคำติชมให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ ฝึกหัด และปรับปรุงพัฒนาฝีมือ และหลังจากมีเคสนวดผ่านมือไม่ต่ำกว่า 50 คน เด็กก็สามารถนวดได้อย่างคล่องแคล่ว และเกิดความมั่นใจเต็มร้อย จนพร้อมที่จะออกไปเจอลูกค้าตัวจริง

“ตั้งแต่งานเทศกาลลอยกระทงเมื่อครั้งที่ผ่านมา ที่ถือเป็นการลงสนามจริงครั้งแรกของเด็ก จนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนได้พาเด็กไปเปิดร้านนวดตามสถานที่ต่าง ๆ เมื่อจังหวัดมีงานสำคัญ โดยได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลเมืองระนองจัดสรรพื้นที่ให้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือออกบูธให้บริการประชาชนบริเวณสวนสุขภาพ ทำให้มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติแวะเวียนเข้ามารับบริการอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นความภาคภูมิใจของคณะผู้บริหาร และครูอย่างมากที่ช่วยให้เด็กมีอาชีพ และมีรายได้ระหว่างเรียน พร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกกว้างในสังคมได้อย่างปลอดภัย “นางสาวกชพร บอกด้วยความดีใจ”

ขณะที่ น.ส.นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ หัวหน้าทีมติดตาม โครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ สสค. บอกว่า โครงการนี้เป็น กระบวนการที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน แล้วส่งผลไปที่ตัวเด็ก และส่งผลต่อไปยังครอบครัว เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยทุกภาคส่วนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ส่งผลดีถึงสังคม ถึงชุมชน และยังเป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ขณะเดียวกันโครงการนี้ยังช่วยยืนยันและพิสูจน์ได้ว่า หากเราสนใจให้ความสำคัญเรื่องอาชีพให้เด็กจะเกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะอย่างน้อย ถ้าเด็กไม่ได้เรียนต่อก็ยังสามารถไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ หรือบางคนก็อาจใช้ความรู้และทักษะวิชาชีพการนวด ไปต่อยอดเรียนต่อด้านแพทย์แผนไทยเพิ่มศักยภาพและความรู้ความสามารถได้อีก

ถือเป็นการค้นพบ และเป็นดอกผล ที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคุณภาพการเรียนรู้ที่เกิดจาการลงมือปฏิบัติ จากความร่วมมือของทุกคนทุกฝ่ายที่เข้ามามีส่วนร่วม สนับสนุน เอื้อโอกาสให้เด็ก ๆ ได้บ่มเพาะศักยภาพ พัฒนาทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับท้องถิ่น เชื่อว่าเด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นไปใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคม ได้อย่างสมบูรณ์และมีคุณภาพอย่างแน่นอน.

อาภากร สำอางค์ญาติ


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558