คาดควบรวมเอเฟต-ทีเฟ็กเสร็จไตรมาส3

[brid.ladawan]

คาดควบรวมเอเฟต-ทีเฟ็กเสร็จไตรมาส3

ก.ล.ต. เผยคาดควบรวม เอเฟต-ทีเฟ็กซ์แล้วเสร็จไตรมาส 3 รับนโยบายภาครัฐ เสริมความแข็งแกร่งทัดเทียมเพื่อบ้าน ดันสินค้ายางพาราชูโรง

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การรวมตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(ทีเฟ็กซ์) และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟต) คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อตอบรับนโยบายภาครัฐที่อนุมัติเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขพระราชบัญญัติเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในสัปดาห์หน้า และจะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในระยะต่อไป

นายชัยพัฒน์ สหัสกุล ประธานกรรมการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟท) กล่าวว่า ในปัจจุบันตลาดเอเฟตมีมีประเภทสินค้า 5-6 รายการ เช่น ยางพารา , ข้าว และมันสำปะหลัง โดยในปีที่ผ่านมามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 200 สัญญาต่อวัน และฐานลูกค้ากว่า 4,000 บัญชี คิดเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอกว่า 60-70% ซึ่งสินค้ายางพาราได้รับความนิยมมากที่สุด

สำหรับในเดือน ก.พ. ปริมาณการซื้อขายปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 130 สัญญาต่อวัน เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับตกต่ำ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกค่อนข้างชะลอตัว ประกอบกับนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือก หรือมันสำปะหลังของภาครัฐทำให้การเก็งกำไรในตลาดเอเฟตลดลงมากพอสมควร อีกทั้งผู้ประกอบการสินค้าเกษตรแสดงความกังวลต่อการควบรวมตลาดทีเฟ็กซ์และเอเฟทในระยะแรกว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่ได้มีการอธิบายสิทธิประโยชน์ในด้านการช่วยลดต้นทุนและเสริมศักยภาพการซื้อขายผู้ประกอบการก็มีความเข้าใจเป็นอย่างดี

“การควบรวมตลาดจะทำให้ศักยภาพตลาดสินค้าเกษตรในไทยเติบโตขึ้นมาก เพื่อแข่งขันกับตลาดเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ รวมถึงเวียดนามที่จะเปิดตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามคาดหวังว่าศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ราคาซื้อขายในตลาดจะสามารถอ้างอิงราคาสินค้าเกษตรในอนาคตได้”

น.ส.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กระบวนการควบรวมตลาดขณะนี้ดำเนินการได้ประมาณ 50% ซึ่งต้องนำเข้าสินค้าเกษตรมาซื้อขายในตลาดทีเฟ็กซ์ โดยเบื้องต้นจะสินค้ายางพาราทั้งชนิดแผ่นรวมควันชั้น 3 และยางแท่งชั้น 20 เป็นสินค้าแรก เ

ที่มา เดลินิวส์
วันจันทร์ 16 มีนาคม 2558