เมียนมาร์อ้าแขนรับนักลงทุน ตะลุยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

[brid.ladawan]

เมียนมาร์อ้าแขนรับนักลงทุน ตะลุยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน


หลังจากที่เมียนมาร์เปิดประเทศเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศหลายอย่างทั้งทางด้านกฎระเบียบและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ เพื่อรองรับนักลงทุนจากต่างชาติ โดยในปีนี้เมียนมาร์ยังต้องเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่สำคัญอีกอย่างน้อย 2 อย่าง คือ การเลือกตั้งทั่วไป และการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี

ในงานเสวนาหัวข้อ "เมียนมาร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" ซึ่งจัดโดย Wharton School แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มีนักวิชาการและตัวแทนนักธุรกิจจากนานาชาติ และจากเมียนมาร์ร่วมแสดงทรรศนะ

นายอู อเย ลวิน เลขาธิการสมาคมธรณีศาสตร์แห่งเมียนมาร์ และเลขาธิการร่วมสภาหอการค้า และอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมาร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า "เมียนมาร์ยังไม่ค่อยพร้อมสำหรับการเข้าสู่ช่วงการเป็นเออีซีในปีหน้า โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถในการแข่งขัน"

นายอูย้ำว่า สิ่งที่เมียนมาร์ต้องพัฒนาในตอนนี้คือ โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการคมนาคมเพื่อรองรับการขนส่งภายในประเทศ และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะต้องใช้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ทั้งองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

นอกจากนี้ ในเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ยังต้องปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเมียนมาร์ โดยตนหวังว่านักลงทุนต่างชาติจะไม่หวั่นกลัวการลงทุนในเมียนมาร์เสียก่อน ในระหว่างนี้ที่ระเบียบต่างๆ ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

ด้านนายแกรี บิสตี้ จากบริษัทเซาท์เอเชีย ลอว์ ระบุว่า การเลือกตั้งในเมียนมาร์ที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเมียนมาร์มากขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบด้านการลงทุนในเมียนมาร์หลายฉบับในขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา และน่าจะผ่านขั้นตอนทางกฎหมายและบังคับใช้ได้ในช่วงหลังการเลือกตั้ง

"เมียนมาร์ยังมีปัญหาพื้นฐานหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติ และการถือครองกิจการที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการเงิน แน่นอนว่าเมียนมาร์เป็นประเทศที่น่าสนใจทั้งในเรื่องของการมีทรัพยากรและแรงงานที่เหมาะสมกับการลงทุน และเชื่อว่าการเริ่มต้นเข้าไปร่วมมือในด้านการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในเมียนมาร์ของรัฐบาลต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น และไทย น่าจะเปิดประตูโอกาสให้กับนักลงทุนในประเทศนั้นๆ ไปลงทุนในเมียนมาร์มากขึ้น" นายบิสตี้เสริม

พร้อมระบุว่า "เมียนมาร์ยังต้องพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการศึกษา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นปัจจัยทางด้านเงินทุน ซึ่งเมียนมาร์ต้องดึงมาจากต่างประเทศให้ได้"

ส่วนนายปีเตอร์ ทรอปเปอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสจากสมาคมหุ้นนอกตลาด ในตลาดเกิดใหม่มองว่า "การพัฒนาในเมียนมาร์ไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาทรัพยากรบุคคล และกฎระเบียบในประเทศให้รองรับการลงทุนด้วย"

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่กับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ที่อาจกระทบเสถียรภาพทางการเมืองในเมียนมาร์ นายทรอปเปอร์ระบุว่า "โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างมองการลงทุนในเมียนมาร์เชิงบวก และคิดว่าเราต่างก็ต้องรอดูสถานการณ์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง

เมียนมาร์ซึ่งเป็นประเทศที่ปิดตัวเองมาตลอดครึ่งศตวรรษ และจู่ ๆ ก็ตัดสินใจเปิดประเทศ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่หลายคนยังไม่คุ้นเคย และการเปลี่ยนแปลงในเมียนมาร์ไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน นักลงทุนควรจะต้องมองสถานการณ์ตามความเป็นจริง และมองหาโอกาสในการลงทุน"

เมื่อมองสถานการณ์ในเมียนมาร์ขณะนี้แล้ว คงจะเห็นได้ว่าเมียนมาร์อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างแท้จริง โดยการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

ในปลายปีนี้น่าจะเป็นปัจจัยชี้วัดสำคัญว่าเมียนมาร์จะสามารถดึงดูดการลงทุนในระยะยาวได้หรือไม่ โดยเมียนมาร์จะต้องก้าวข้ามความแตกต่างทางด้านพหุสังคม และเบนเข็มเข้าสู่แนวทางประชาธิปไตย เพื่อเปิดช่องให้เกิดการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนที่ดาหน้าเข้าไปปักหมุดในเมียนมาร์



ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันที่ 19 มี.ค. 2558