พลังงาน ปัดชงเก็บภาษี 'แอลพีจี' ชี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา

[brid.ladawan]

พลังงาน ปัดชงเก็บภาษี 'แอลพีจี' ชี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา


พลังงาน แจงชงขึ้นภาษีสรรพสามิตแอลพีจี-เก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ตัวถังแอลพีจีติดรถยนต์ คลาดเคลื่อน ระบุยังอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางบริหารจัดการในภาคขนส่ง พร้อมผลกระทบรองรับในระยะยาว...


เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 58 นายทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน ชี้แจงกรณีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับรถยนต์ มีความวิตกว่ากระทรวงพลังงานกำลังจะเสนอให้มีการปรับภาษีสรรพสามิตสำหรับแอลพีจี และจัดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ตัวถังแอลพีจี (LPG) ที่จะนำมาติดตั้งใช้ในรถยนต์ภายในเดือน พ.ค.นี้ ว่า ข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

ในส่วนของเชื้อเพลิงแอลพีจีนั้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในอดีต โดยราคาแอลพีจีในภาคขนส่งได้ผูกติดกับราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนที่ก่อนหน้านี้ภาครัฐให้การอุดหนุน แต่ภาครัฐไม่เคยมีนโยบายส่งเสริมการให้แอลพีจีในภาคขนส่ง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการใช้พลังงานผิดประเภท อีกทั้งมีปัญหาทั้งด้านความปลอดภัย และมาตรฐานการติดตั้ง

ต่อมาเมื่อกระทรวงพลังงานได้จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan) ได้กำหนดแนวทางผลักดันการใช้เชื้อเพลิงทดแทนทั้งเอทานอลไบโอดีเซล และไฟฟ้า ซึ่งมีปริมาณและสัดส่วนการใช้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการศึกษาและพิจารณาบทบาทของแอลพีจีในภาคขนส่งในระยะยาวว่า อาจจะมีบทบาทลดลงตามกลไกอยู่แล้ว อีกทั้งแม้ว่ารัฐบาลจะไม่เคยมีนโยบายส่งเสริมการใช้แอลพีจีภาคขนส่งอย่างจริงจัง แต่ก็มีผู้ใช้และธุรกิจเกี่ยวเนื่องเป็นจำนวนมากจึงอาจที่จะมีการปรับตัวเพิ่ม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลทั้งจากราคาในตลาดโลกและกลไก ที่กระทรวงพลังงานได้ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เกิดความเป็นธรรมในทุกภาคส่วน ส่งผลให้ส่วนต่างราคาระหว่างราคาน้ำมัน และก๊าซแอลพีจีแคบลง ผู้ใช้รถยนต์จึงหันมาใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดร้านค้า ความเชื่อมั่นในคุณภาพ และความปลอดภัยของผู้ใช้ รวมถึงสอดคล้องกับทิศทางของพลังงานทางเลือกในอนาคต

“ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดการประชุมกลุ่ม กับผู้ประกอบการธุรกิจก๊าซแอลพีจี ในภาคขนส่ง เพื่อรับทราบ และยังให้มีการศึกษาผลกระทบซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดแนวทางในการปรับตัว รองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อไป"


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 13 พ.ค. 2558