การขุดบิตคอยน์พ่นพิษ อาจทำโลกร้อนขึ้นถึง 2 องศาในปี 2033

Post Reply
brid.samanan
Posts: 578
Joined: 07 Aug 2017, 09:57

การขุดบิตคอยน์พ่นพิษ อาจทำโลกร้อนขึ้นถึง 2 องศาในปี 2033

Post by brid.samanan »

Image

จากผลการวิจัยล่าสุด การขุดบิตคอยน์ทั่วโลกนั้นทำให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล อาจส่งผลให้โลกร้อนขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสภายในอีก 15 ปี

บิตคอยน์ อาจนำมาซึ่งเสรีภาพใหม่ทางด้านระบบการเงิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหหาศาลในการขุด ดังนั้นในงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ จึงได้มีการพุ่งเป้าไปที่ การหาจำนวนตัวเลขที่แท้จริงว่าการขุดบิตคอยน์นั้นส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมากน้อยขนาดไหน

เนื่องจาก บิตคอยน์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ของระบบเงินดิจิทัลที่ต้องใช้พลังการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์ รวมถึงเครื่องเซิร์ฟเวอร์อย่างมหาศาลเพื่อการที่จะได้มาครอบครองซึ่งสกุลเงินดิจิทัล หรือที่เรียกกันว่าการ "ขุดบิตคอยน์" นั่นเอง และทำให้เกิดต้นทุนอย่างมหาศาลกับสิ่งแวดล้อมของโลก และดูเหมือนว่าผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจากการขุดบิตคอยน์นั้นจะไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่ได้รับ

โดยทีมวิจัยจาก University of Hawaii ได้ทำการประเมินว่า โลกต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่หาก การขุดบิตคอยน์เริ่มได้รับความนิยมในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยมองล่วงหน้าไปถึง 20 ปี

และถ้าบิตคอยน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราการเติบโตเดียวกับการใช้งานบัตรเครดิต หรือสมาร์ทโฟน ผลก็สรุปออกมาว่า ผลกระทบของการขุดบิตคอยน์จะทำให้โลกร้อนขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสภายในปี 2033

ซึ่งการที่โลกอุณหภูมิสูงขึ้นเพียง 2 องศา ทำให้ประสบปัญหาเรื่องคลื่นความร้อนที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนบางพื้นในโลกจมลงใต้ระดับน้ำทะเล มีผลกระทบกับประชากรโลกกว่า 46 ล้านคน ปะการัง 9 ใน 10 ของโลกจะถูกทำลาย และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

โดยคุณ Katie Taladay หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า "ในเวลานี้ มลพิษจากยานพาหนะ และที่อยู่อาศัย นั้นเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน และผลการวิจัยนี้ฉายภาพให้เห็นว่า บิตคอยน์ จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในเรื่องนี้"

บิตคอยน์คือสกุลเงิน ที่ถูกบริหารจัดการในระบบะดิจิทัล ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบไม่รวมศูนย์บนระบบเครือข่าย รวมถึงการทำธุรกรรมที่มีการตรวจสอบแบบไม่รวมศูนย์ในรูปแบบของ Blockchain โดยในทางทฤษฎีแล้ว Blockchain เป็นรูปแบบที่จะทำให้ระบบของบิตคอยน์มีความปลอดภัย และมีเสถียรภาพ

แต่อย่างไรก็ดี ขั้นตอนการยืนยันการทำธุรกรรมแบบไม่รวมศูนย์ของระบบ Blockchain นั้นต้องมีการประมวลผลบนระบบคอมพิวเตอร์อย่างหนักหน่วง โดยเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงจำนวนมาก เพื่อการถอดรหัสที่มีความซับซ้อน ซึ่งระบบบิทคอยน์จะมีการจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการถอดรหัส แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการที่ระบบคอมพิวเตอร์มีการใช้งานพลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล กลับถูกมองข้ามไป

โดยพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการยืนยันการทำธุรกรรมแต่ละครั้งบนระบบ Blockchain นั้น มากเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงบ้านทั้งหลังได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ เลย

โดยคุณ Randi Rollins หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า "การรันระบบ บิตคอยน์ นั้นต้องการพลังการประมวลผลของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เป็นอย่างสูง ทำให้มีความต้องการใช้งานพลังไฟฟ้าในปริมาณมาก"

Image

โดยทีมวิจัยพิจารณาถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องคอมฯ ที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์ รวมถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ที่มีการขุดบิตคอยน์ และปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศนั้นๆ โดยสถานการณ์ก็ออกมาค่อนข้างเลวร้าย โดยในปี 2017 การใช้งานบิตคอยน์ มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 69 เมตริกตัน

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสกุลเงินดิจิทัลหลายๆ รายกล่าวว่า ผลการวิจัยที่กล่าวโทษบิตคอยน์ว่าจะเป็นตัวการทำให้โลกร้อนนั้นเป็นเพียง ข่าวเท็จ ด้วยเหตุที่ว่าการขยายตัวของการขุดบิตคอยน์นั้นอยู่ในวงจำกัด ไม่ได้ขยายตัวอย่างแพร่หลายเหมือนอย่างเทคโนโลยีอื่นๆ และมันมีตัวแปรมากมายในเรื่องนี้ อย่างเช่น ความแตกต่างของกรรมวิธีการผลิตพลังงานไฟฟ้าในแต่ละประเทศและพลังงานไฟฟ้าถูกใช้อย่างไรในการขุดบิตคอยน์

นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสออกมาแย้งว่า สถาบันทางการเงินในปัจจุบันก็มีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล รวมถึงการใช้ทรัพยากรอีกมากมายในบริหารจัดการการทำธุรกรรม ซึ่งก็เป็นไปในรูปแบบเดียวกับเรื่องของบิตคอยน์

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ในฐานะประชากรโลก เราก็ได้แต่หวังว่าจะมีความคิดริเริ่มเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำเรื่องระบบสกุลเงินดิจิทัลอย่างยั่งยืน และใช้พลังงานให้น้อยลง หรือหันไปใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น

คุณ Camilo Mora กล่าวว่า "ด้วยความหายนะของภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ทำให้มวลมนุษยชาติควรเกิดความตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่เราทุกคนต้องรับผิดชอบ และหากะจมีนวัตกรรมใดที่ควรจะเกิดขึ้นกับระบบเงินดิจิทัลแล้วหล่ะก็ มันควระจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลดใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส"

และผลงานวิจัยนี้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Nature Climate Change

ที่มา : www.sciencealert.com
02/11/2018 By Thaiware.com
Post Reply

Return to “แจ้งข่าว ไทย ERP และข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ”