พลังงานยันหน้าร้อนนี้‘เอาอยู่’ จับตามิ.ย.–ก.ค.ส่อวิกฤติแทน
Posted: 18 Mar 2014, 09:19
พลังงานยันหน้าร้อนนี้‘เอาอยู่’ จับตามิ.ย.–ก.ค.ส่อวิกฤติแทน
อุณหภูมิหน้าร้อนของไทยเวลานี้ กำลังหนักหนาสาหัส เหมือนกับอุณหภูมิการเมืองเข้าทุกวัน ล่าสุด...กรมอุตุนิยมวิทยา ประเมินว่าในเดือน เม.ย.นี้ อุณหภูมิของประเทศมีสิทธิร้อนฉ่าสูงไปจนถึง 40 องศาเซลเซียส เรียกว่าเข้าขั้น “ร้อนตับแตก”
อุณหภูมิหน้าร้อนของไทยเวลานี้ กำลังหนักหนาสาหัส เหมือนกับอุณหภูมิการเมืองเข้าทุกวัน ล่าสุด...กรมอุตุนิยมวิทยา ประเมินว่าในเดือน เม.ย.นี้ อุณหภูมิของประเทศมีสิทธิร้อนฉ่าสูงไปจนถึง 40 องศาเซลเซียส เรียกว่าเข้าขั้น “ร้อนตับแตก” กันทีเดียว ที่สำคัญการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) จะยิ่งพุ่งพรวดขึ้นไปอีก เพราะเพียงแค่หน้าร้อนของปีก่อนทั้งที่อุณหภูมิไม่ถึง 40 องศาฯ ด้วยซ้ำ แต่หลายบ้านหลายครัวเรือนก็กระหน่ำใช้ไฟจนปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในเดือน เม.ย.56 พุ่งไปถึง 26,121 เมกะวัตต์ ทีเดียว
เมียนมาร์ปิดซ่อมท่อก๊าซฯ
อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกในเดือน พ.ค. 56 ที่มีปริมาณมากถึง 26,598 เมกะวัตต์ แต่ขณะเดียวกันในทุกเดือน เม.ย. ของทุกปีจะเป็นเดือนที่มีความสำคัญในการผลิตไฟฟ้าของไทยอย่างมาก เพราะประเทศเมียนมาร์ ที่เป็นผู้ขายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา-เยตากุน ให้กับไทย ต้องปิดซ่อมบำรุง จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศ “ภาวะฉุกเฉินระดับชาติ” ไล่ต้อนให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม บริการ และภาคการท่องเที่ยว ช่วยกันประหยัดไฟฟ้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องลุ้นระทึกต่อไปในทุกปี ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าพลังงานเกือบ 100% โดยในช่วง เม.ย. ปีนี้ แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบงกช ที่อ่าวไทย ประกาศปิดซ่อมแก้ไขท่อ 32 นิ้ว จากเดิมกำหนดเวลาซ่อมท่อในวันที่ 10 เม.ย.–5 พ.ค. 57 แต่ได้ปรับลดเวลาให้เร็วขึ้น เป็น 10-27 เม.ย. 57 เหลือ 18 วันแทน
มั่นใจรับมือหน้าร้อนได้
“สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ”ปลัดกระทรวงพลังงาน ประเมินสถานการณ์หน้าร้อนปีนี้ของไทยว่า กระทรวงพลังงานเชื่อว่ารับมือได้อย่างแน่นอน เนื่องจากหน้าร้อนปีนี้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมาก เพราะผลกระทบทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จึงคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งภาคการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยวจะลดลง รวมทั้งอุณหภูมิหน้าหนาวของปีนี้ยาวนานกว่าปกติ จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เห็นได้จากจากสถิติปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่ต้นปี 57 จะลดลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเดือน ม.ค. 57 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 22,556 เมกะวัตต์ ลดลง 3.56% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เดือน ก.พ. มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 23,658 ลดลง 3.79% เดือน มี.ค. คาดการณ์ว่า มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 24,209 เมกะวัตต์ ลดลง 8.38% ขณะที่เดือน เม.ย. ปีนี้คาดว่า จะมีการใช้ไฟฟ้า 23,000–24,000 เมกะวัตต์
ส่วนการปิดซ่อมแหล่งก๊าซฯ บงกช ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าห่วง เพราะแหล่งก๊าซฯบงกชอยู่ในอ่าวไทย สามารถใช้น้ำมันเตา และก๊าซแอลพีจีจากแหล่งใกล้เคียงมาช่วยเสริมในการผลิตไฟฟ้าแทน ต่างจากสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา ที่เป็นการปิดซ่อมแหล่งก๊าซฯยาดานา–เยตากุน ของเมียนมาร์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของไทย โดยปีนี้ได้เลื่อนไปซ่อมบำรุงในช่วงปลายปีแทน
กลางปีเจอวิกฤติแน่
แม้สถานการณ์น่าร้อนปีนี้ดูแล้วไม่น่าห่วง แต่ปลัดกระทรวงพลังงานยอมรับว่า ปัญหาหนักใจน่าจะเกิดในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ที่อาจเกิดวิกฤติพลังงานอีกครั้ง เนื่องจากจะมีการปิดซ่อมท่อก๊าซฯ ที่รับจากแหล่งก๊าซธรรมชาติพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) บริเวณ แหล่ง เอ 18 ประเทศมาเลเซีย จะปิดซ่อมระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.–10 ก.ค. จำนวน 28 วัน ซึ่งจะกระทบโดยตรงกับการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ทันที จากปกติที่การผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้สูงกว่าปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ต้องนำไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าราชบุรี จังหวัดชลบุรี มาเพิ่มเติมตลอดเวลา
ผลิตไฟฟ้าภาคใต้จุดอ่อน
ต้องยอมรับว่าการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ ถือเป็นจุดอ่อนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับทุกพื้นที่ เรียกได้ว่า มีไฟฟ้าพอชนิด ปริ่ม ๆ แต่ไม่มั่นคง โดยปีที่ผ่านมาความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ อยู่ที่ 2,300 เมกะวัตต์ ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 2,400-2,500 เมกะวัตต์ แต่โรงไฟฟ้าทางภาคใต้จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ นำไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าราชบุรี 500 เมกะวัตต์ และซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซียอีก 300 เมกะวัตต์ หากแหล่งเจดีเอ หยุดซ่อมบำรุง จะทำให้ปริมาณไฟฟ้าหายไปประมาณ 700 เมกะวัตต์ ทางกระทรวงพลังงานจึงได้ทำแผนรับมือ โดยมีการประชุมทุกเดือนเพื่อรับมือสถานการณ์การปิดซ่อมแหล่งท่อก๊าซธรรมชาติในที่ต่าง ๆ
เร่งทำแผนรับมือทุกทาง
ส่วนกรณีแหล่งเจดีเอได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพลังงานทำแผนรับมือผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอในภาคใต้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยไฟฟ้าดับใน 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเบื้องต้นได้ให้ กฟผ. หาแหล่งผลิตไฟฟ้ามาเสริมความมั่นคงในภาคใต้อีกประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ ส่วนตัวเลขที่ชัดเจนจะมีการประเมินอีกครั้ง, ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่ง ได้แก่ ไทยออยล์ เอสโซ่ และบางจาก เพื่อให้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นที่จะหยุดบางหน่วยช่วงเดียวกับแหล่งเจดีเอ, ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ขอให้โรงไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ เพิ่มกำลังการผลิต และป้อนไฟฟ้ามาสำรองให้กับภาคใต้แทน คาดว่าจะเสริมได้ประมาณ 70–100 เมกะวัตต์ รวมถึงวิธีประหยัดอื่น ๆ
หากไม่เพียงพอจริงก็ได้สั่งการให้ กฟผ. ขอความร่วมมือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำเป็นต้องดับไฟในบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นวิธีสุดท้ายที่จะดำเนินการ
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรณรงค์ประหยัดพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจังตลอดเวลา ไม่ใช่ทำแค่ช่วงวิกฤติเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้!.
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 18 มีนาคม 2557
อุณหภูมิหน้าร้อนของไทยเวลานี้ กำลังหนักหนาสาหัส เหมือนกับอุณหภูมิการเมืองเข้าทุกวัน ล่าสุด...กรมอุตุนิยมวิทยา ประเมินว่าในเดือน เม.ย.นี้ อุณหภูมิของประเทศมีสิทธิร้อนฉ่าสูงไปจนถึง 40 องศาเซลเซียส เรียกว่าเข้าขั้น “ร้อนตับแตก”
อุณหภูมิหน้าร้อนของไทยเวลานี้ กำลังหนักหนาสาหัส เหมือนกับอุณหภูมิการเมืองเข้าทุกวัน ล่าสุด...กรมอุตุนิยมวิทยา ประเมินว่าในเดือน เม.ย.นี้ อุณหภูมิของประเทศมีสิทธิร้อนฉ่าสูงไปจนถึง 40 องศาเซลเซียส เรียกว่าเข้าขั้น “ร้อนตับแตก” กันทีเดียว ที่สำคัญการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) จะยิ่งพุ่งพรวดขึ้นไปอีก เพราะเพียงแค่หน้าร้อนของปีก่อนทั้งที่อุณหภูมิไม่ถึง 40 องศาฯ ด้วยซ้ำ แต่หลายบ้านหลายครัวเรือนก็กระหน่ำใช้ไฟจนปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในเดือน เม.ย.56 พุ่งไปถึง 26,121 เมกะวัตต์ ทีเดียว
เมียนมาร์ปิดซ่อมท่อก๊าซฯ
อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกในเดือน พ.ค. 56 ที่มีปริมาณมากถึง 26,598 เมกะวัตต์ แต่ขณะเดียวกันในทุกเดือน เม.ย. ของทุกปีจะเป็นเดือนที่มีความสำคัญในการผลิตไฟฟ้าของไทยอย่างมาก เพราะประเทศเมียนมาร์ ที่เป็นผู้ขายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา-เยตากุน ให้กับไทย ต้องปิดซ่อมบำรุง จนทำให้รัฐบาลต้องประกาศ “ภาวะฉุกเฉินระดับชาติ” ไล่ต้อนให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม บริการ และภาคการท่องเที่ยว ช่วยกันประหยัดไฟฟ้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องลุ้นระทึกต่อไปในทุกปี ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าพลังงานเกือบ 100% โดยในช่วง เม.ย. ปีนี้ แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบงกช ที่อ่าวไทย ประกาศปิดซ่อมแก้ไขท่อ 32 นิ้ว จากเดิมกำหนดเวลาซ่อมท่อในวันที่ 10 เม.ย.–5 พ.ค. 57 แต่ได้ปรับลดเวลาให้เร็วขึ้น เป็น 10-27 เม.ย. 57 เหลือ 18 วันแทน
มั่นใจรับมือหน้าร้อนได้
“สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ”ปลัดกระทรวงพลังงาน ประเมินสถานการณ์หน้าร้อนปีนี้ของไทยว่า กระทรวงพลังงานเชื่อว่ารับมือได้อย่างแน่นอน เนื่องจากหน้าร้อนปีนี้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมาก เพราะผลกระทบทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จึงคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งภาคการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยวจะลดลง รวมทั้งอุณหภูมิหน้าหนาวของปีนี้ยาวนานกว่าปกติ จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เห็นได้จากจากสถิติปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่ต้นปี 57 จะลดลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเดือน ม.ค. 57 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 22,556 เมกะวัตต์ ลดลง 3.56% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เดือน ก.พ. มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 23,658 ลดลง 3.79% เดือน มี.ค. คาดการณ์ว่า มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 24,209 เมกะวัตต์ ลดลง 8.38% ขณะที่เดือน เม.ย. ปีนี้คาดว่า จะมีการใช้ไฟฟ้า 23,000–24,000 เมกะวัตต์
ส่วนการปิดซ่อมแหล่งก๊าซฯ บงกช ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าห่วง เพราะแหล่งก๊าซฯบงกชอยู่ในอ่าวไทย สามารถใช้น้ำมันเตา และก๊าซแอลพีจีจากแหล่งใกล้เคียงมาช่วยเสริมในการผลิตไฟฟ้าแทน ต่างจากสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา ที่เป็นการปิดซ่อมแหล่งก๊าซฯยาดานา–เยตากุน ของเมียนมาร์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของไทย โดยปีนี้ได้เลื่อนไปซ่อมบำรุงในช่วงปลายปีแทน
กลางปีเจอวิกฤติแน่
แม้สถานการณ์น่าร้อนปีนี้ดูแล้วไม่น่าห่วง แต่ปลัดกระทรวงพลังงานยอมรับว่า ปัญหาหนักใจน่าจะเกิดในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ที่อาจเกิดวิกฤติพลังงานอีกครั้ง เนื่องจากจะมีการปิดซ่อมท่อก๊าซฯ ที่รับจากแหล่งก๊าซธรรมชาติพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) บริเวณ แหล่ง เอ 18 ประเทศมาเลเซีย จะปิดซ่อมระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.–10 ก.ค. จำนวน 28 วัน ซึ่งจะกระทบโดยตรงกับการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ทันที จากปกติที่การผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้สูงกว่าปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ต้องนำไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าราชบุรี จังหวัดชลบุรี มาเพิ่มเติมตลอดเวลา
ผลิตไฟฟ้าภาคใต้จุดอ่อน
ต้องยอมรับว่าการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ ถือเป็นจุดอ่อนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับทุกพื้นที่ เรียกได้ว่า มีไฟฟ้าพอชนิด ปริ่ม ๆ แต่ไม่มั่นคง โดยปีที่ผ่านมาความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ อยู่ที่ 2,300 เมกะวัตต์ ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 2,400-2,500 เมกะวัตต์ แต่โรงไฟฟ้าทางภาคใต้จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ นำไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าราชบุรี 500 เมกะวัตต์ และซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซียอีก 300 เมกะวัตต์ หากแหล่งเจดีเอ หยุดซ่อมบำรุง จะทำให้ปริมาณไฟฟ้าหายไปประมาณ 700 เมกะวัตต์ ทางกระทรวงพลังงานจึงได้ทำแผนรับมือ โดยมีการประชุมทุกเดือนเพื่อรับมือสถานการณ์การปิดซ่อมแหล่งท่อก๊าซธรรมชาติในที่ต่าง ๆ
เร่งทำแผนรับมือทุกทาง
ส่วนกรณีแหล่งเจดีเอได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพลังงานทำแผนรับมือผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอในภาคใต้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยไฟฟ้าดับใน 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเบื้องต้นได้ให้ กฟผ. หาแหล่งผลิตไฟฟ้ามาเสริมความมั่นคงในภาคใต้อีกประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ ส่วนตัวเลขที่ชัดเจนจะมีการประเมินอีกครั้ง, ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่ง ได้แก่ ไทยออยล์ เอสโซ่ และบางจาก เพื่อให้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นที่จะหยุดบางหน่วยช่วงเดียวกับแหล่งเจดีเอ, ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ขอให้โรงไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ เพิ่มกำลังการผลิต และป้อนไฟฟ้ามาสำรองให้กับภาคใต้แทน คาดว่าจะเสริมได้ประมาณ 70–100 เมกะวัตต์ รวมถึงวิธีประหยัดอื่น ๆ
หากไม่เพียงพอจริงก็ได้สั่งการให้ กฟผ. ขอความร่วมมือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำเป็นต้องดับไฟในบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นวิธีสุดท้ายที่จะดำเนินการ
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรณรงค์ประหยัดพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจังตลอดเวลา ไม่ใช่ทำแค่ช่วงวิกฤติเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้!.
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 18 มีนาคม 2557