พลังงานขู่ฟันผู้ค้า ลอบขายก๊าซข้ามสาขา

[brid.ladawan]

พลังงานขู่ฟันผู้ค้า ลอบขายก๊าซข้ามสาขา

ยอดใช้ก๊าซแอลพีจี-น้ำมันเดือนก.พ.ลดลง8% พลังงานขู่ฟันผู้ค้า ลอบขายก๊าซข้ามสาขา

ภายหลังจากกระทรวงพลังงาน ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังแห่งชาติหรือกพช.ปรับราคาก๊าซหุงต้มแอลพีจีภาคครัวเรือนทุกวันที่ 1 ของเดือน ล่าสุดวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาแอลพีจีครัวเรือน ขยับขึ้นไปยืนเหนือแอลพีจีภาคขนส่ง ทำให้ราคาเกิดการเขย่งกันขึ้นมาและอาจมีผลให้มีการลักลอบใช้แอลพีจีข้ามสาขา

นายสมนึก บำรุงสาลี อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันราคาขายปลีกแอลพีจีภาคครัวเรือนอยู่ที่ 21.63 บาทต่อกิโลกรัม และจะปรับราคาขึ้นอีกเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ไปจนกว่าจะถึงเพดานราคา 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาแอลพีจี ภาคขนส่งยังอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะยังไม่มีการปรับราคาขึ้นไป จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่

ส่วนราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนที่จะเริ่มแตกต่างจากแอลพีจีภาคขนส่ง อาจจะจูงใจให้มีการลักลอบจำหน่ายข้ามสาขา จึงจำเป็นต้องมีการวางมาตรการป้องกันเอาไว้ตั้งแต่ต้น

ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบนำถังก๊าซหุงต้มไปเติมที่สถานีบริการ หรือการซื้อขายก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจีข้ามสาขา ระหว่างภาคขนส่งที่มีราคาถูกกว่าไปขายภาคครัวเรือนที่มีราคาสูงกว่า

กรมธุรกิจพลังงานจึงได้วางมาตรการป้องกัน โดยตรวจสอบรายงานข้อมูลการรับจ่ายก๊าซแอลพีจี ของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา7,โรงบรรจุก๊าซ,สถานีบริการ โรงงานอุตสาหกรรม ในกรณีที่พบปริมาณการรับ/โอนที่มียอดผิดปกติ โดยไม่มีสาเหตุ จะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะเดียวกันจะมีมาตรการกำชับไปยังผู้ประกอบการแอลพีจีให้ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งให้พลังงานจังหวัดออกตรวจตราสถานีบริการและโรงบรรจุก๊าซ และแจ้งขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ช่วยจัดชุดปฏิบัติการออกตรวจสอบ

"ก่อนหน้านี้ ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนเคยต่ำกว่าราคาแอลพีจีภาคขนส่งมาก ทำให้เกิดการลักลอบนำแอลพีจีภาคครัวเรือนไปจำหน่ายยังภาคขนส่ง เพื่อกินกำไรส่วนต่างของราคา ซึ่งกรมฯร่วมกับตำรวจและออกระเบียบควบคุมโรงบรรจุก๊าซ และมีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 83 ราย แต่ขณะนี้ราคาแอลพีจีครัวเรือนสูงกว่าขนส่ง เหตุการณ์อาจจะกลับด้านกัน จึงต้องรีบป้องกันและส่งสัญญาณให้เห็นว่ากรมฯดำเนินการจริงจัง โดยยังเชื่อว่าทั้งผู้ค้าและโรงบรรจุจะเข้าใจและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมาย"

สำหรับภาพรวมการใช้แอลพีจีในเดือนก.พ. 2557 อยู่ที่ 19.5 ล้าน ก.ก.ต่อวัน ลดลงจากเดือนม.ค. อัตรา 8 % ซึ่งเมื่อแยกเป็นภาคส่วนพบว่าภาคครัวเรือนมีการใช้ 6.5 ล้าน กก./วัน ลดลง 3% ภาคปิโตรเคมี ใช้ 6.3 ล้าน กก./วันลดลง 21% ภาคอุตสาหกรรมใช้ 1.6 ล้าน กก./วัน เพิ่มขึ้น 4% ส่วนภาคขนส่งใช้ 5.1 ล้าน กก./วัน เพิ่มขึ้น 3% ในขณะที่การนำเข้าแอลพีจี 175 ล้าน กก./เดือน ลดลง 3% และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย 4,054 ล้านบาท

ส่วนสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดือน ก.พ.57 เปรียบเทียบเดือนม.ค. 2557 โดยยอดใช้ต่อวัน ในส่วนกลุ่มเบนซินมียอดใช้ 20.8ล้านลิตร ลดลง 5% ดีเซล 60.5 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 2% เอ็นจีวี 9,000 ตัน/วันเพิ่มขึ้น 7% ส่วนการใช้แอลพีจี 19.5 ล้านกิโลกรัมลดลง 8% ปริมาณนำเข้าน้ำมัน 1.01 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 3.8% มูลค่านำเข้า 104,322 ล้านบาท ลดลง 5.9% ปริมาณส่งออก 101,000 บาร์เรล/วันมูลค่า 14,980 ล้านบาท ลดลง 23.2% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 104.88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลใกล้เคียงเดือนม.ค.ที่ 104.04 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำหรับการใช้กลุ่มเบนซิน แยกออกเป็นเบนซิน 95 ลดลง 8% แก๊สโซฮอล์ 19.5 ล้านลิตร/วันลดลง 4% ยกเว้นอี 85 เพิ่มขึ้น 6% มาอยู่ที่ 0.7 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้การใช้ดีเซลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลขนส่งสินค้าเกษตร เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง และยังพบว่าจากการที่รัฐตรึงราคาดีเซล 30 บาท ก็ทำให้รถบ้านหันมาใช้ดีเซลเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเอ็นจีวี แอลพีจี ภาคขนส่งใช้เพิ่มขึ้นก็เพราะมีราคาต่ำ. ในขณะเดียวกันปัญหาการชุมนุมทางการเมืองก็ทำให้ยอดใช้เบนซินลดลง

ส่วนการใช้ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล ขณะนี้กรมธุรกิจพลังงานได้ออกประกาศปรับไบโอดีเซลบี 7 เป็นบี 3.5 เพื่อแก้ปัญหาปาล์มขาดแคลน ตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน แต่หากปาล์มออกสู่ตลาด จนไม่เกิดความเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลน กรมฯก็จะประกาศปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล เป็นบี 7 เช่นเดิม เพื่อเป็นการดูดซับน้ำมันส่วนเกิน โดยรอความชัดเจนจากคณะกรรมการปาล์มแห่งชาติต่อไป

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่19 มีนาคม 2557