ศน.ปลื้มอินโดนีเซียชูศาสนิกสัมพันธ์คือความมั่นคงของชาติ
กรมการศาสนาไทยหารือกระทรวงการศาสนาอินโดนีเซีย ศึกษารูปแบบสร้างสมานฉันท์ระหว่างศาสนา ปลัดกระทรวงศาสนาอินโดนีเซีย ย้ำศาสนิกสัมพันธ์ถือเป็นนโยบายความมั่นคงของชาติ
วันนี้(19มี.ค.)นายบาห์รูฮายัด (BahrulHayat) ปลัดกระทรวงการศาสนาแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย กล่าวในการหารือร่วมกับคณะศาสนิกสัมพันธ์กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมของประเทศไทย ณ กระทรวงการศาสนา กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซียว่า รัฐบาลอินโดนีเซียมุ่งส่งเสริมให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาภายใต้หลักการที่ชื่อว่าแพนคาซีลา( Pancasila) 5ประการได้แก่ การนับถือพระเจ้าองค์เดียว มนุษยธรรม ความเป็นเอกภาพของชาติ ประชาธิปไตย และความยุติธรรมทางสังคม ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
นายบาห์รูฮายัด กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบการบริหารงานศาสนานั้นมีการแบ่งกรม/กองออกตามความรับผิดชอบของแต่ละศาสนาได้แก่อิสลาม พุทธ คริสต์ ฮินดูขงจื้อ และศาสนาอื่นๆโดยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ศาสนาอิสลามที่มีประชากรนับถือมากที่สุดเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญกระทรวงยังได้มีการจัดตั้งศูนย์สร้างสายใยศาสนิกสัมพันธ์(Centerof Interreligious Harmony)ซึ่งจะรับผิดชอบดูแลความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาของประเทศโดยมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งของความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนที่ต่างศาสนากันเป็นสำคัญพร้อมกับการส่งเสริมทั้งศาสนกิจกรรมและศาสนศึกษาของทุกๆศาสนาควบคู่กันไปด้วย ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักและเป็นกระทรวงสำคัญรองจากกระทรวงกลาโหม เนื่องจากรัฐบาลถือว่าเป็นกระทรวงที่สร้างความมั่นคงให้ประเทศ
นายกฤษฎา คงคะจันทร์ รองอธิบดีกรมการศาสนาของไทย กล่าวว่า จากการหารือตนได้สอบถามถึงกลไกการทำงานของกระทรวงการศาสนาแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาที่ต่างกัน ซึ่งทางปลัดกระทรวงการศาสนาชี้ให้เห็นว่ากระทรวงได้มีการจัดตั้งสภาทางศาสนาขึ้นโดยคัดเลือกผู้แทนที่ได้รับการยอมรับจากแต่ละศาสนาเข้ามาดำรงตำแหน่งและดำเนินการคู่ขนานไปกับการใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยกำกับการทำงานในทุกจังหวัดและทุกพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับทราบข้อมูลและปัญหาจากแต่ละศาสน าประกอบกับการจัดตั้งเวทีสร้างความสมานฉันท์ในชุมชนต่างศาสนา(InterreligiousCommunity HarmonyForum) เป็นหน่วยงานกลั่นกรองให้แน่ใจว่าจะเกิดเอกภาพจากการทำงานในแต่ละขั้นตอนก่อนที่กระทรวงจะทำการประเมินผลเสนอรัฐบาลทราบและหากเกิดกรณีเร่งด่วนก็จะต้องมีการแก้ปัญหาให้ทันท่วงที
“เราได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางศาสนาระหว่างกันอย่างกว้างขวางพร้อมแสดงความมั่นใจว่าส่วนราชการทั้งสองชาติจะสามารถขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมากในอนาคตโดยเฉพาะความร่วมมือทางวิชาการหรือการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับประเด็นทางศาสนาซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งสองและประชาคมอาเซียนโดยรวมในอนาคต ทั้งนี้ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา และนายปรีชา กันธิยะ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับทราบ และเมื่อโครงการแล้วเสร็จในปี2557 จะมีการสรุปผลการทำงานเสนอต่อรัฐบาลไทยได้เห็นว่าภารกิจการสร้างศาสนิกสัมพันธ์ของกรมการศาสนามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งหลายประเทศก็ถือเป็นนโยบายความมั่นคงของชาติ”รองอธิบดีศน.กล่าว
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 19 มีนาคม 2557
ศน.ปลื้มอินโดนีเซียชูศาสนิกสัมพันธ์คือความมั่นคงของชาติ
-
- Posts: 7045
- Joined: 29 Mar 2013, 13:36