สภาธุรกิจตลาดทุนยื่นหนังสือคลังต่ออายุ LTF-RMF

[brid.siriwan]

สภาธุรกิจตลาดทุนยื่นหนังสือคลังต่ออายุ LTF-RMF

วอนคลังพิจารณาข้อมูลให้รอบด้านตัดสินใจที่จะดำเนินการใด ๆ รับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง 88% แนะรณรงค์ให้เกิดการออมเงิน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ว่า ได้เสนอผลการศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ใช้เป็นการประกอบการพิจารณา กรณีที่สิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีของกองทุนดังกล่าวจะหมดอายุลงในปี 59 เพื่อให้กระทรวงการคลังพิจารณาข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนที่จะตัดสินไม่ต่ออายุสิทธิประโยชน์กองทุนแอลทีเอฟ หรือตัดสินใจที่จะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับมาตรการภาษี เนื่องจากปัจจุบันไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 88% ซึ่งควรรณรงค์ให้เกิดการออมเงินเพื่อการลงทุนมากที่สุด

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาพบว่า คนที่มีรายได้น้อย และปานกลาง ได้ประโยชน์ทางด้านภาษีจากการลงทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟมากกว่า ผู้มีรายได้สูงหรือเสียภาษีจำนวนมาก ซึ่งคนที่มีรายได้น้อย และปานกลาง จะช่วยลดภาษีได้สูงสุดถึง 50% ของภาษีที่เสียอยู่ ขณะที่คนที่มีรายได้สูง เสียภาษีจำนวนมากการลงทุนแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ ช่วยลดภาระภาษีลงแค่ 0.01% ของภาษีที่เสียอยู่เท่านั้น

สำหรับปัจจุบันไทยมีกองทุนรวมทั้งหมด 1,465 กองทุน มีมูลค่าการลงทุนรวม 3.6 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนหุ้น 382 กองทุน มูลค่าการลงทุน 814,000 ล้านบาท กองทุนอาร์เอ็มเอฟ 125 กองทุนมูลค่า 150,000 ล้านบาท และกองทุนแอลทีเอฟ 52 กองทุน มูลค่า 234,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ว่าช่วงปีหลังจะขยายเพิ่มในอัตราที่ชะลอลงก็ตาม

นอกจากนี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ยังได้หารือกับ สศค.เพื่อวางแผนไปโรดโชว์ฟื้นฟูความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย กับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งวางแผนจะเดินทางไปกลางเดือนหน้า เพื่อรอให้แผนโรดแมปทางเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาให้มีความชัดเจนเสียก่อน โดยเบื้องต้นจะเริ่มโรด์โชว์ที่สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นฐานนักลงทุนต่างประเทศที่สำคัญของไทย ส่วนการโรดโชว์ฟื้นฟูตลาดทุนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรป จะต้องพิจารณาความพร้อมอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน การไปโรดโชว์ครั้งนี้ นอกจากเชิญตัวแทน สศค. แล้วยังจะเชิญจะเชิญตัวแทนจาก คสช. ที่มีอำนาจพูดให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนได้รวมถึงซีอีโอของบริษัทขนาดใหญ่เดินทางไปร่วมเดินทางไปให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในครั้งนี้ด้วย รวมทั้ง จะเชิญตัวแทนกระทรวงคมนาคมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อเดินทางไปชี้โครงการลงทุนด้านคมนาคม 2.4 ล้านล้านบาท และเชิญตัวแทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อไปให้ความเชื่อมั่นว่าการลงทุนในประเทศไทยไม่ได้ลดลง

อย่างไรก็ตาม ยังได้หารือกับ สศค. เรื่องการตั้งคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยขึ้นมาใหม่ เพราะคณะที่มีอยู่เดิมทำงานไม่คืบหน้าซึ่งอาจจะปรับปรุงคณะทำงานให้คล่องตัวมากขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมตลาดทุนไทยเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 24 มิถุนายน 2557