เด็กใต้เรียนต่อ ม.ปลาย น้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตั้งแต่ประถ
Posted: 26 Jun 2014, 17:17
เด็กใต้เรียนต่อ ม.ปลาย น้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตั้งแต่ประถม
ศธ. เตรียมจัดทำโรดแมปพัฒนาการศึกษาใต้ เสนอฝ่ายสังคมจิตวิทยา ขณะที่ ผลสำรวจการศึกษาใต้พบ นร. เข้าเรียนต่อน้อย ส่วนใหญ่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มาตั้งแต่ระดับประถม
เด็กใต้เรียนต่อ ม.ปลาย น้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตั้งแต่ประถม
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมหรรษา เจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายในการประชุมผู้บริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษาทุกสังกัด สำนักงานศึกษาธิการภาค ผู้ตรวจราชการ และเขตพื้นที่การศึกษา และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 จำนวน 350 คนเข้าร่วม ว่า ในภาคใต้ยังพบปัญหาทางการศึกษาของเด็กโดยเฉพาะเมื่อดูจากคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ที่พบว่าค่อนข้างต่ำ ขณะที่เด็กส่วนใหญ่ในพื้นที่นิยมเรียนทางด้านศาสนาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เมื่อเรียนจบก็มีปัญหาไม่สามารถเทียบโอนวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือต้องไปเรียนในประเทศที่สอนศาสนาอิสลามโดยเฉพาะ ดังนั้น ที่ผ่านมา ทางศธ. ได้มอบหมายให้ให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เข้าไปจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญเพิ่มเข้าไปตามสถาบันศึกษาปอเนาะ เพื่อให้เด็กสามารถเทียบวุฒเพื่อใช้ในการเรียนต่อได้ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ก็เข้ามาจัดการเรียนการสอนในสายอาชีวศึกษา สายอาชีพ ซึ่งทำให้เด็กมีทั้งความรู้พื้นฐานและวิชาชีพติดตัว อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้ผู้บริหารทุกท่านเสนอปัญหาในการจัดการศึกษาและแนวทางแก้ไขที่ต้องการให้ดำเนินการ โดย ศธ. จะรวบรวมปัญหาต่างๆ จัดทำยุทธศาสตร์เสนอฝ่ายสังคมจิตวิทยา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาต่อไป
ด้าน นายพีระศักดิ์ รัตนะ ผู้อำนวยสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) 12 (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) กล่าวว่า ศธภ.12 ได้ทำการสำรวจข้อมูลอัตราการเรียนต่อของประชากรในวัยเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา (สะบ้าย้อย, เทพา, นาทวี และจะนะ) พบว่า อัตราการเข้าเรียนยังไม่น่าพอใจในทุกระดับชั้น แม้ว่าในการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะมีอัตราการเข้าเรียนที่น่าพอใจ แต่เมื่อพอถึงระดับ ม.ปลาย อัตราการเข้าเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในพื้นที่จะมีประชากรอายุ 4 - 6 ปี ในระดับปฐมวัย จำนวน 105,372 คน เข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว 78,874 คน หรือร้อยละ 74.85 ประชากรอายุ 7 - 12 ปี ในระดับประถมศึกษา มี 205,907 คน เข้าสู่ระบบฯ 204,083 หรือ ร้อยละ 99.11 ประชากรอายุ 13 - 15 ปี ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 105,703 คน เข้าสู่ระบบฯ 103,689 หรือร้อยละ 98.90 ประชากรอายุ 16 - 18 ปี ในระดับ ม.ปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จำนวน 107,903 คน เข้าสู่ระบบฯ ระดับ ม.ปลาย ในพื้นที่ 68,742 คน หรือร้อยละ 63.71 และเข้าสู่ระบบระดับ ปวช. ในพื้นที่ 4,609 คน หรือร้อยละ 4.27 รวมทั้งหมดร้อยละ 67.98 คน ไม่นับรวมเด็กที่ออกไปเรียนต่อนอกพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนระดับอุดมศึกษามีประชากรวัยนี้อยู่ 139,380 คน เรียนต่อ ปวส. ในพื้นที่ 4,339 คน หรือร้อยละ 3.11 เรียนต่ออุดมศึกษาในพื้นที่ประมาณ 20,000 คน หรือประมาณร้อยละ 20 อย่างไรก็ตาม มีเด็กจำนวนมากไปเรียนต่ออุดมศึกษานอกพื้นที่ หรือเรียนต่อที่ และพบว่ามีนักเรียนในพื้นที่ประมาณ 37,000 คน เรียนสถาบันศึกษาปอเนาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะไปเรียนโรงเรียนสามัญในช่วงกลางวัน และมาเรียนศาสนาช่วงกลางคืน
“เด็กที่ไม่เรียนต่อ ม.ปลาย นั้น เพราะเด็กมีพื้นฐานการเรียนตั้งแต่วัยประถมศึกษาที่ไม่เข้มแข็ง มีปัญหาการอ่านเขียนภาษาไทย เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เด็กต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเรียน ทำให้ส่วนหนึ่งเลือกออกไปช่วยผู้ปกครองทำงาน บางส่วนอยู่บ้าน หรือเลือกเรียนต่อกับ กศน. และสถาบันศึกษาปอเนาะแทน นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่คือ ปัญหาการออกกลางคันในพื้นที่ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงโดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษา แม้ตัวเลขเข้าเรียนจะน่าพอใจ แต่ไม่สามารถทำให้เด็กคงอยู่จนจบได้ เพราะฉะนั้น การปูพื้นทางให้เด็กอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ประถมศึกษา จะช่วยทำให้เขาคงอยู่ในระบบ” นายพีระศักดิ์ กล่าว
นายพีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญในพื้นที่อีกอย่าง คือ อัตราการขาดเรียนค่อนข้างสูง จากการสุ่มสำรวจโรงเรียนรัฐ 4 โรงใน จ.นราธิวาส เป็นเวลา 13 วัน พบว่า เด็กหมุนเวียนขาดเรียนทุกโรงเรียนและทุกวัน มีเพียงวันเดียวที่ไม่มีเด็กขาดเรียนในโรงเรียน 1 โรง แต่วันอื่นๆ ขาดเรียนในอัตราสูง จากจำนวนชั้นเรียน 30 คน บางวันขาดเรียนถึง 15 คน ส่วนใหญ่จะขาดเรียนไม่ต่ำกว่า 3 - 4 คนต่อโรง ทั้งนี้ เพราะนักเรียนตามผู้ปกครองไปทำกิจกรรมทางสังคม หรือตามผู้ปกครองไปทำงาน สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ปกครองยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการศึกษาเท่าที่ควร เมื่อรวมกับการที่โรงเรียนต้องปิดเรียนในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอีก ยังทำให้นักเรียนได้เรียนไปไม่เต็มที่ นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำ
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 25 มิถุนายน 2557
ศธ. เตรียมจัดทำโรดแมปพัฒนาการศึกษาใต้ เสนอฝ่ายสังคมจิตวิทยา ขณะที่ ผลสำรวจการศึกษาใต้พบ นร. เข้าเรียนต่อน้อย ส่วนใหญ่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มาตั้งแต่ระดับประถม
เด็กใต้เรียนต่อ ม.ปลาย น้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตั้งแต่ประถม
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมหรรษา เจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายในการประชุมผู้บริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษาทุกสังกัด สำนักงานศึกษาธิการภาค ผู้ตรวจราชการ และเขตพื้นที่การศึกษา และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 จำนวน 350 คนเข้าร่วม ว่า ในภาคใต้ยังพบปัญหาทางการศึกษาของเด็กโดยเฉพาะเมื่อดูจากคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ที่พบว่าค่อนข้างต่ำ ขณะที่เด็กส่วนใหญ่ในพื้นที่นิยมเรียนทางด้านศาสนาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เมื่อเรียนจบก็มีปัญหาไม่สามารถเทียบโอนวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือต้องไปเรียนในประเทศที่สอนศาสนาอิสลามโดยเฉพาะ ดังนั้น ที่ผ่านมา ทางศธ. ได้มอบหมายให้ให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เข้าไปจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญเพิ่มเข้าไปตามสถาบันศึกษาปอเนาะ เพื่อให้เด็กสามารถเทียบวุฒเพื่อใช้ในการเรียนต่อได้ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ก็เข้ามาจัดการเรียนการสอนในสายอาชีวศึกษา สายอาชีพ ซึ่งทำให้เด็กมีทั้งความรู้พื้นฐานและวิชาชีพติดตัว อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้ผู้บริหารทุกท่านเสนอปัญหาในการจัดการศึกษาและแนวทางแก้ไขที่ต้องการให้ดำเนินการ โดย ศธ. จะรวบรวมปัญหาต่างๆ จัดทำยุทธศาสตร์เสนอฝ่ายสังคมจิตวิทยา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาต่อไป
ด้าน นายพีระศักดิ์ รัตนะ ผู้อำนวยสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) 12 (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) กล่าวว่า ศธภ.12 ได้ทำการสำรวจข้อมูลอัตราการเรียนต่อของประชากรในวัยเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา (สะบ้าย้อย, เทพา, นาทวี และจะนะ) พบว่า อัตราการเข้าเรียนยังไม่น่าพอใจในทุกระดับชั้น แม้ว่าในการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะมีอัตราการเข้าเรียนที่น่าพอใจ แต่เมื่อพอถึงระดับ ม.ปลาย อัตราการเข้าเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในพื้นที่จะมีประชากรอายุ 4 - 6 ปี ในระดับปฐมวัย จำนวน 105,372 คน เข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว 78,874 คน หรือร้อยละ 74.85 ประชากรอายุ 7 - 12 ปี ในระดับประถมศึกษา มี 205,907 คน เข้าสู่ระบบฯ 204,083 หรือ ร้อยละ 99.11 ประชากรอายุ 13 - 15 ปี ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 105,703 คน เข้าสู่ระบบฯ 103,689 หรือร้อยละ 98.90 ประชากรอายุ 16 - 18 ปี ในระดับ ม.ปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จำนวน 107,903 คน เข้าสู่ระบบฯ ระดับ ม.ปลาย ในพื้นที่ 68,742 คน หรือร้อยละ 63.71 และเข้าสู่ระบบระดับ ปวช. ในพื้นที่ 4,609 คน หรือร้อยละ 4.27 รวมทั้งหมดร้อยละ 67.98 คน ไม่นับรวมเด็กที่ออกไปเรียนต่อนอกพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนระดับอุดมศึกษามีประชากรวัยนี้อยู่ 139,380 คน เรียนต่อ ปวส. ในพื้นที่ 4,339 คน หรือร้อยละ 3.11 เรียนต่ออุดมศึกษาในพื้นที่ประมาณ 20,000 คน หรือประมาณร้อยละ 20 อย่างไรก็ตาม มีเด็กจำนวนมากไปเรียนต่ออุดมศึกษานอกพื้นที่ หรือเรียนต่อที่ และพบว่ามีนักเรียนในพื้นที่ประมาณ 37,000 คน เรียนสถาบันศึกษาปอเนาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะไปเรียนโรงเรียนสามัญในช่วงกลางวัน และมาเรียนศาสนาช่วงกลางคืน
“เด็กที่ไม่เรียนต่อ ม.ปลาย นั้น เพราะเด็กมีพื้นฐานการเรียนตั้งแต่วัยประถมศึกษาที่ไม่เข้มแข็ง มีปัญหาการอ่านเขียนภาษาไทย เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เด็กต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเรียน ทำให้ส่วนหนึ่งเลือกออกไปช่วยผู้ปกครองทำงาน บางส่วนอยู่บ้าน หรือเลือกเรียนต่อกับ กศน. และสถาบันศึกษาปอเนาะแทน นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่คือ ปัญหาการออกกลางคันในพื้นที่ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงโดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษา แม้ตัวเลขเข้าเรียนจะน่าพอใจ แต่ไม่สามารถทำให้เด็กคงอยู่จนจบได้ เพราะฉะนั้น การปูพื้นทางให้เด็กอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ประถมศึกษา จะช่วยทำให้เขาคงอยู่ในระบบ” นายพีระศักดิ์ กล่าว
นายพีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญในพื้นที่อีกอย่าง คือ อัตราการขาดเรียนค่อนข้างสูง จากการสุ่มสำรวจโรงเรียนรัฐ 4 โรงใน จ.นราธิวาส เป็นเวลา 13 วัน พบว่า เด็กหมุนเวียนขาดเรียนทุกโรงเรียนและทุกวัน มีเพียงวันเดียวที่ไม่มีเด็กขาดเรียนในโรงเรียน 1 โรง แต่วันอื่นๆ ขาดเรียนในอัตราสูง จากจำนวนชั้นเรียน 30 คน บางวันขาดเรียนถึง 15 คน ส่วนใหญ่จะขาดเรียนไม่ต่ำกว่า 3 - 4 คนต่อโรง ทั้งนี้ เพราะนักเรียนตามผู้ปกครองไปทำกิจกรรมทางสังคม หรือตามผู้ปกครองไปทำงาน สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ปกครองยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการศึกษาเท่าที่ควร เมื่อรวมกับการที่โรงเรียนต้องปิดเรียนในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอีก ยังทำให้นักเรียนได้เรียนไปไม่เต็มที่ นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำ
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 25 มิถุนายน 2557