ที่ 8 ไร่ ทำเกษตรผสมผสาน มีกินมีใช้เหลือเก็บกว่า180,000บาทต่
Posted: 30 Jun 2014, 13:13
ที่ 8 ไร่ ทำเกษตรผสมผสาน มีกินมีใช้เหลือเก็บกว่า180,000บาทต่อปี - เกษตรทั่วไทย
นายชรินทร์ กลั่นแฮม เกษตรกรตัวอย่าง ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จ.กาญจนบุรี แม่แบบการขยายผลของโครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี
นายชรินทร์ กลั่นแฮม เกษตรกรตัวอย่าง ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จ.กาญจนบุรี แม่แบบการขยายผลของโครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี ที่ยึดอาชีพทำการเกษตรแบบเกษตรผสมผสาน โดยปลูกทุกอย่างที่กินได้ และกินทุกอย่างที่ปลูก เหลือกินเอาออกขาย ปัจจุบันเป็นหนึ่งของเกษตรกรที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง ด้วยมีกินและมีรายได้เหลือเก็บทุกวัน และสามารถส่งเสียลูกได้เล่าเรียนอย่างไม่ขัดสน
นายชรินทร์ เล่าว่า ตนเป็นหนึ่งของราษฎรที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่สำหรับทำกิน จากโครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน 8 ไร่ นำมาแบ่งสันปันส่วน เป็นที่อยู่อาศัยส่วนหนึ่ง ที่เหลือใช้ทำกินเป็นแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ แบบผสมผสาน โดยขุดสระน้ำไว้ 1 สระเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้สำหรับบำรุงต้นพืช ในสระปล่อยปลา ขอบสระปลูกพืชผักสวนครัวสลับกับไม้ผล อาทิ กระท้อน ขนุน ละมุด มะม่วง และมะนาวในวงบ่อด้วยระบบน้ำหยด โดยปลูก พริก มะเขือ ผักกวางตุ้ง มะละกอ และกล้วยแซม เลี้ยงไก่เพื่อกินไข่และเนื้อ ควบคู่กับการปลูกฝรั่งพันธุ์กิมจู ในพื้นที่ 5 ไร่ ระหว่างที่ฝั่งยังไม่ให้ผลผลิตก็อาศัยผักสวนครัว และกล้วยเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งกล้วยช่วงที่ออกลูกพร้อมๆ กันกินและขายไม่ทันก็จะนำมาแปรรูปเป็นกล้วยฉาบขาย เมื่อฝรั่งกิมจูให้ผลผลิตก็สามารถเก็บขายได้วันละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท โดยมีพ่อค้าจากตลาดมารับซื้อถึงบ้าน
“ ในพื้นที่ 5 ไร่ผมปลูกฝรั่งใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ระหว่างรอฝรั่งก็ปลูกพริกตามร่องแปลงฝรั่ง ประมาณ 2-3 เดือนพริกก็ให้ผลผลิต ระหว่างรอพริก ก็ลงผักกวางตุ้งในร่องพริกประมาณ 1 เดือนเก็บกินได้ ปลูกกล้วยเสริมระหว่างร่องฝรั่ง ซึ่งกล้วยเป็นรายได้ทั้งต้น หน่อกล้วย ปลี ผล ใบ ขายได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการเป็นแนวบังลมให้แก่ฝรั่งและผัก เพราะยามที่ลมแรงจะเป็นผลต่อผลฝรั่งลูกเล็กอาจจะหลุดร่วงได้ ปัจจุบันมีรายได้เหลือเก็บไม่น้อยกว่า 180,000 บาทต่อปี” นายชรินทร์ กลั่นแฮม กล่าว
วันเสาร์ 14 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.
ส่วนแรงงานทำกันเองสองสามีภรรยาไม่ต้องจ้างแรงงานจากภายนอก ปุ๋ยบำรุงต้นพืชทำเอง จากความรู้ที่ได้ไปอบรมมาจากโครงการห้วยองคตฯ ใช้ไส้เดือนเป็นตัวช่วยในการพรวนดิน ใช้ปุ๋ยมูลหมูจากการเลี้ยงหมูหลุมในบ้าน และนำกิ้งไม้ที่ตัดแต่งทรงพุ่มมาเผาถ่าน พร้อมทำน้ำส้มควันไม้นำมาฉีดพ่นในแปลงไล่แมลง และเป็นปุ๋ยทางใบ และปลอดภัยต่อสุขภาพแถมทำให้ฝรั่งมีรสชาติที่หวานและกรอบตรงตามความต้องการของตลาดอีกด้วย ทั้งนี้โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้มีการจัดแบ่งแปลงที่ดินทำกินให่ราษฎรครอบครัวละ 8 ไร่ ครอบครัวใหญ่ 16 ไร่ รวม 907 แปลง และแปลงที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 1 ไร่ รวม 780 แปลง โดยมีหลักเกณฑ์ห้ามซื้อขายและให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานเท่านั้น
และเพื่อสร้างความมั่นคงในที่ทำกินให้แก่ราษฎรในพื้นที่ และเพื่อให้การจัดการระเบียบชุมชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำนักงาน กปร. กรมป่าไม้ และจังหวัดกาญจนบุรี จึงได้ร่วมกันดำเนินการจัดทำข้อมูลและสำรวจพื้นที่เพื่อจัดทำเอกสารสิทธิ์ทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.) ให้แก่ราษฎรโดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเดิมหรือทายาท และกลุ่มเปลี่ยนมือผู้ครอบครองสิทธิ์
โดยนายชรินทร์ กลั่นแฮม และครอบครัวเป็นหนึ่งของราษฎร ที่ได้รับเอกสารสิทธิ์ ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ ปัจจุบันมีชีวิตมีกินมีรายได้อย่างสมบูรณ์
ที่มา เดลินิวส์
วันที่14 มิถุนายน 2557
นายชรินทร์ กลั่นแฮม เกษตรกรตัวอย่าง ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จ.กาญจนบุรี แม่แบบการขยายผลของโครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี
นายชรินทร์ กลั่นแฮม เกษตรกรตัวอย่าง ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จ.กาญจนบุรี แม่แบบการขยายผลของโครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี ที่ยึดอาชีพทำการเกษตรแบบเกษตรผสมผสาน โดยปลูกทุกอย่างที่กินได้ และกินทุกอย่างที่ปลูก เหลือกินเอาออกขาย ปัจจุบันเป็นหนึ่งของเกษตรกรที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง ด้วยมีกินและมีรายได้เหลือเก็บทุกวัน และสามารถส่งเสียลูกได้เล่าเรียนอย่างไม่ขัดสน
นายชรินทร์ เล่าว่า ตนเป็นหนึ่งของราษฎรที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่สำหรับทำกิน จากโครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน 8 ไร่ นำมาแบ่งสันปันส่วน เป็นที่อยู่อาศัยส่วนหนึ่ง ที่เหลือใช้ทำกินเป็นแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ แบบผสมผสาน โดยขุดสระน้ำไว้ 1 สระเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้สำหรับบำรุงต้นพืช ในสระปล่อยปลา ขอบสระปลูกพืชผักสวนครัวสลับกับไม้ผล อาทิ กระท้อน ขนุน ละมุด มะม่วง และมะนาวในวงบ่อด้วยระบบน้ำหยด โดยปลูก พริก มะเขือ ผักกวางตุ้ง มะละกอ และกล้วยแซม เลี้ยงไก่เพื่อกินไข่และเนื้อ ควบคู่กับการปลูกฝรั่งพันธุ์กิมจู ในพื้นที่ 5 ไร่ ระหว่างที่ฝั่งยังไม่ให้ผลผลิตก็อาศัยผักสวนครัว และกล้วยเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งกล้วยช่วงที่ออกลูกพร้อมๆ กันกินและขายไม่ทันก็จะนำมาแปรรูปเป็นกล้วยฉาบขาย เมื่อฝรั่งกิมจูให้ผลผลิตก็สามารถเก็บขายได้วันละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท โดยมีพ่อค้าจากตลาดมารับซื้อถึงบ้าน
“ ในพื้นที่ 5 ไร่ผมปลูกฝรั่งใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ระหว่างรอฝรั่งก็ปลูกพริกตามร่องแปลงฝรั่ง ประมาณ 2-3 เดือนพริกก็ให้ผลผลิต ระหว่างรอพริก ก็ลงผักกวางตุ้งในร่องพริกประมาณ 1 เดือนเก็บกินได้ ปลูกกล้วยเสริมระหว่างร่องฝรั่ง ซึ่งกล้วยเป็นรายได้ทั้งต้น หน่อกล้วย ปลี ผล ใบ ขายได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการเป็นแนวบังลมให้แก่ฝรั่งและผัก เพราะยามที่ลมแรงจะเป็นผลต่อผลฝรั่งลูกเล็กอาจจะหลุดร่วงได้ ปัจจุบันมีรายได้เหลือเก็บไม่น้อยกว่า 180,000 บาทต่อปี” นายชรินทร์ กลั่นแฮม กล่าว
วันเสาร์ 14 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.
ส่วนแรงงานทำกันเองสองสามีภรรยาไม่ต้องจ้างแรงงานจากภายนอก ปุ๋ยบำรุงต้นพืชทำเอง จากความรู้ที่ได้ไปอบรมมาจากโครงการห้วยองคตฯ ใช้ไส้เดือนเป็นตัวช่วยในการพรวนดิน ใช้ปุ๋ยมูลหมูจากการเลี้ยงหมูหลุมในบ้าน และนำกิ้งไม้ที่ตัดแต่งทรงพุ่มมาเผาถ่าน พร้อมทำน้ำส้มควันไม้นำมาฉีดพ่นในแปลงไล่แมลง และเป็นปุ๋ยทางใบ และปลอดภัยต่อสุขภาพแถมทำให้ฝรั่งมีรสชาติที่หวานและกรอบตรงตามความต้องการของตลาดอีกด้วย ทั้งนี้โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้มีการจัดแบ่งแปลงที่ดินทำกินให่ราษฎรครอบครัวละ 8 ไร่ ครอบครัวใหญ่ 16 ไร่ รวม 907 แปลง และแปลงที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 1 ไร่ รวม 780 แปลง โดยมีหลักเกณฑ์ห้ามซื้อขายและให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานเท่านั้น
และเพื่อสร้างความมั่นคงในที่ทำกินให้แก่ราษฎรในพื้นที่ และเพื่อให้การจัดการระเบียบชุมชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำนักงาน กปร. กรมป่าไม้ และจังหวัดกาญจนบุรี จึงได้ร่วมกันดำเนินการจัดทำข้อมูลและสำรวจพื้นที่เพื่อจัดทำเอกสารสิทธิ์ทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.) ให้แก่ราษฎรโดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเดิมหรือทายาท และกลุ่มเปลี่ยนมือผู้ครอบครองสิทธิ์
โดยนายชรินทร์ กลั่นแฮม และครอบครัวเป็นหนึ่งของราษฎร ที่ได้รับเอกสารสิทธิ์ ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ ปัจจุบันมีชีวิตมีกินมีรายได้อย่างสมบูรณ์
ที่มา เดลินิวส์
วันที่14 มิถุนายน 2557