รายจ่ายโตเร็วกว่ารายได้

[brid.siriwan]

รายจ่ายโตเร็วกว่ารายได้

ทีดีอาร์ไอชี้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบผลก่อนหลังการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน โดยเปรียบเทียบปี 2554 กับปี 2556 พบว่า แม้นโยบาย 300 บาทจะทำให้แรงงานและครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายกลับโตเร็วกว่ารายได้ โดยรายจ่ายโต 16% ขณะที่รายได้โตเพียง 13% เนื่องจากมีผู้ฉกฉวยโอกาสจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้แรงงาน ข้าวของเครื่องใช้ที่แพงขึ้น ทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับผลประโยชน์จากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การขึ้นค่าจ้างอย่างเดียวโดยไม่ได้ดูแลหรือควบคุมการขึ้นค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคให้ดี ตัวลูกจ้างหรือผู้ใช้แรงงานก็ไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในภาพรวมสถานการณ์ครัวเรือนไทยจึงไม่ได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ จากการคำนวณพบว่า สำหรับคนทำงานอายุไม่เกิน 25 ปี ตัวคนเดียว ในปี 2554 มีรายได้จากค่าจ้าง 7,891 บาท ขณะที่มีรายจ่ายต่อเดือน 8,615 บาท แต่ละเดือนมีรายได้สุทธิติดลบ 724 บาท เปรียบเทียบในปี 2556 ภายหลังมีการใช้ค่าจ้างอัตราใหม่มาครบ 1 ปี พบว่า กลุ่มตัวอย่างนี้มีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 10,176 บาท แต่ก็พบด้วยว่ามีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 11,594 บาท หรือมีรายได้สุทธิติดลบต่อเดือน 1,418 บาท นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวมของครัวเรือนทุกประเภทที่ทำการศึกษาพบว่า ปี 2554 จะมีเงินเหลือประมาณเดือนละ 1,838 บาท แต่ในปี 2556 มีเงินเหลือลดน้อยลง เหลือ 1,341 บาท และหากดูเฉพาะรายได้ค่าจ้างโดยไม่รวมรายได้อื่นหักด้วยรายจ่ายพบว่า เมื่อปี 2554 ติดลบเดือนละ 200 บาท แต่ปี 2556 ติดลบถึงเดือนละ 1,088 บาท

“การมีผู้ที่ฉกฉวยโอกาสในกระบวนการนี้ทำให้เขาไม่สามารถมีเงินออมได้ หรือมีฐานะเงินออมแย่ลง แม้จะมีเงินหรือรายได้ผ่านมือมากขึ้นแต่ก็กลายเป็นต้องจ่ายไปกับสิ่งของปัจจัยการดำรงชีวิตที่มีราคาแพงตามไปด้วย ทำให้มูลค่าของเงินค่าจ้างที่ได้ยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างฐานะการออมที่ดีขึ้นของแรงงาน เป็นการใช้นโยบายในเชิงจิตวิทยาที่ทำให้คนรู้สึกมีรายได้มากขึ้นสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้ดีขึ้นจริง เป็นอุทาหรณ์ว่าการขึ้นค่าจ้างแบบนี้ไม่ควรทำอีก นอกจากนี้ ประเมินว่าเมื่อถึงปี 2558 อำนาจซื้อของเงิน 300 บาทจะลดลงเหลือเพียง 274 บาท”.

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 11 กรกฎาคม 2557