“GFK” จ้องทีวีเรตติ้งไทย ตลาดวิจัยครึ่งปีแรกวูบ
Posted: 17 Jul 2014, 10:48
“GFK” จ้องทีวีเรตติ้งไทย ตลาดวิจัยครึ่งปีแรกวูบ
“GFK” สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีเรตติ้งไทย เตรียมความพร้อมเรียบร้อย รอแค่ไลเซนส์ และทีโออาร์จาก กสทช.ที่ชัดเจนเท่านั้น ชี้หลายชาติพุ่งเป้ามาที่ไทย เพราะโอกาสจะเปิดประมูลในโลกนี้มีน้อยมาก เบื้องต้นคาดลงทุนวางระบบ 150 ล้านบาท เผยตลาดรวมวิจัยนิ่งเพราะผลกระทบจากการเมืองและเศรษฐกิจ
นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตไว้ส์ จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท จีเอฟเค ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศเยอรมนีมีความสนใจที่จะเข้าร่วมการประมูลทีวีเรตติ้งในไทย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเตรียมการและการศึกษาหาข้อมูลเช่นเดียวกับที่มีหลายบริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลเช่นกัน ขณะที่ในส่วนของหน่วยงานที่กำกับดูแล คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เท่าที่ทราบมาคือ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการแต่ยังไม่มีข้อสรุปออกมาถึงรายละเอียดต่างๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในเรื่องของการออก พ.ร.บ. หรือทีโออาร์มารองรับ
“โอกาสที่ในโลกนี้จะมีการประมูลทำวิจัยทีวีเรติติ้งนี้มีน้อยมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างประเทศไทยเองก็ว่างเว้นการประมูลมานานกว่า10 ปีแล้ว หลังจากที่มีการประมูลกันเมื่อหลายปีก่อนซึ่งยังมีรายเก่าทำอยู่ แต่หลายๆ ประเทศก็สนใจตลาดทีวีเรตติ้งไทย ล่าสุดกลุ่มจีเอฟเคเพิ่งจะชนะการประมูลทำทีวีเรตติ้งที่ประเทศบราซิลและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในส่วนของเราก็มีผู้บริหารระดับสูงคือ โกลบัลไดเรกเตอร์ทางด้านทีวีเรตติ้ง รวมถึงมีเดียและเฮด ออฟ รีจินัล จากสิงคโปร์มาร่วมประชุมวางแนวทางไว้แล้วเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง อีกทั้งยังมีการเข้าร่วมประชุมกับ กสทช. เพื่อทราบถึงนโยบายและแนวทางต่างๆ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันด้วย”
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังไม่ทราบรายละเอียดและความชัดเจนของทีโออาร์และการดำเนินงานของ กสทช.ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร คาดว่าน่าจะเป็นปลายปีนี้จึงจะมีความชัดเจนได้ เพราะแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน เช่น ในบราซิล มีประชากรกว่า 190 ล้านคน ใช้กลุ่มตัวอย่างประมาณ 6,000 ครัวเรือนเราชนะประมูลเมื่อปี 2556 ได้สัญญานาน 5 ปี จะเริ่มปี 2558 ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย มีประชากรแค่ 28 ล้านคนก็ใช้กลุ่มตัวอย่างไม่เท่ากัน แต่บริษัทน ก็ชนะประมูลเมื่อต้นปีนี้ได้สิทธิ์ 5 ปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานปี 2558 หรือที่เยอรมนีมีประชาก 80 ล้านคน แต่จำนวนกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 ครัวเรือน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นบริษัทฯ คาดว่าจะต้องลงทุนขั้นต่ำประมาณ 100-150 ล้านบาทเพื่อลงทุนทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากร และการคัดสรรครัวเรือนตัวอย่างที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเท่าใด เพราะแต่ละประเทศกลุ่มครัวเรือนมีความแตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ และพฤติกรรมการชมสื่อ เป็นต้น โดยคาดว่าในช่วงปีต่อๆ ไปจะต้องลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 150-200 ล้านบาท ซึ่งจีเอฟเคมีความพร้อมอยู่แล้ว ด้วยประสบการณ์ที่ทำวิจัยทั้งทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์มานานกว่า 40 ปี
นางดารณีกล่าวต่อถึงตลาดรวมวิจัยในไทยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกนี้คาดว่าตลาดรวมไม่มีการเติบโตและแต่ละบริษัทฯ ก็อยู่ในภาวะเหมือนกัน เนื่องจากปัญหาทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยในส่วนของบริษัทเองก็พลาดเป้าหมายไม่ถึงเป้าหมาย ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 50% คาดว่าทั้งปีตลาดรวมจะเติบโตประมาณ 7% ซึ่งปีที่แล้วก็เติบโตประมาณ 7% จากตลาดรวม 5,153 ล้านบาท
“แต่ในภาพรวมไทยยังเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกิจการวิจัย ไทยถือเป็นอันดับที่ 26 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของเอเซียแปซิฟิก โดยมูลค่ายังน้อยและมีโอกาสเติบโตอีกมาก เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ใช้ต่อการวิจัยต่อคนพบว่าไทยใช้เพียง 2.39 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ขณะที่เม็ดเงินทางด้านโฆษณาเฉลี่ย 62.21 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี แต่ประเทศที่เป็นตลาดใหญ่เช่น ออสเตรเลีย ใช้งบวิจัยประมาณ 32.18 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี และใช้งบโฆษณามากถึง 599.61 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี หรือนิวซีแลนด์ใช้เงินประมาณ 21.55 เหรียญสหรัฐในแง่การทำวิจัย และใช้ประมาณ 374.53 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปีในแง่การโฆษณา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์เริ่มดีขึ้น สังเกตุจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีปริมาณลูกค้าและยอดบิลลิ่งเริ่มเข้ามามากเพียงแค่ 2 สัปดาห์แรกเดือนนี้เทียบเท่ากับปริมาณงานและยอดบิลลิ่งครึ่งปีแรกนี้เลยทีเดียว มีทั้งลูกค้าเก่าที่ชะลองานไว้และลูกค้าใหม่ รวมทั้งต่างประเทศที่ติดต่อเข้ามาด้วย เช่น เอสซีจีกรุ๊ป เป๊ปซี่โคเซอร์วิส โตโยต้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีแผนที่จะออกนวัตกรรมใหม่ในการทำงานให้กับลูกค้าคือ Market Opportunity and Innovation หรือ MoI คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรมการเสนอและสร้างโอกาสสำหรับความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่ และมีแผนที่จะรวมบริษัทในเครืออีกแห่งคือ บริษัท จีเอฟเครีเทล แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด มาเข้ารวมกันเป็น บริษัท วัน จีเอฟเค เข้ามาอยู่ในบริษัทเดียวกันชื่อใหม่ว่า บริษัท วัน จีเอฟเค จำกัด
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 15 กรกฎาคม 2557
“GFK” สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีเรตติ้งไทย เตรียมความพร้อมเรียบร้อย รอแค่ไลเซนส์ และทีโออาร์จาก กสทช.ที่ชัดเจนเท่านั้น ชี้หลายชาติพุ่งเป้ามาที่ไทย เพราะโอกาสจะเปิดประมูลในโลกนี้มีน้อยมาก เบื้องต้นคาดลงทุนวางระบบ 150 ล้านบาท เผยตลาดรวมวิจัยนิ่งเพราะผลกระทบจากการเมืองและเศรษฐกิจ
นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตไว้ส์ จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท จีเอฟเค ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศเยอรมนีมีความสนใจที่จะเข้าร่วมการประมูลทีวีเรตติ้งในไทย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเตรียมการและการศึกษาหาข้อมูลเช่นเดียวกับที่มีหลายบริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลเช่นกัน ขณะที่ในส่วนของหน่วยงานที่กำกับดูแล คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เท่าที่ทราบมาคือ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการแต่ยังไม่มีข้อสรุปออกมาถึงรายละเอียดต่างๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในเรื่องของการออก พ.ร.บ. หรือทีโออาร์มารองรับ
“โอกาสที่ในโลกนี้จะมีการประมูลทำวิจัยทีวีเรติติ้งนี้มีน้อยมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างประเทศไทยเองก็ว่างเว้นการประมูลมานานกว่า10 ปีแล้ว หลังจากที่มีการประมูลกันเมื่อหลายปีก่อนซึ่งยังมีรายเก่าทำอยู่ แต่หลายๆ ประเทศก็สนใจตลาดทีวีเรตติ้งไทย ล่าสุดกลุ่มจีเอฟเคเพิ่งจะชนะการประมูลทำทีวีเรตติ้งที่ประเทศบราซิลและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในส่วนของเราก็มีผู้บริหารระดับสูงคือ โกลบัลไดเรกเตอร์ทางด้านทีวีเรตติ้ง รวมถึงมีเดียและเฮด ออฟ รีจินัล จากสิงคโปร์มาร่วมประชุมวางแนวทางไว้แล้วเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง อีกทั้งยังมีการเข้าร่วมประชุมกับ กสทช. เพื่อทราบถึงนโยบายและแนวทางต่างๆ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันด้วย”
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังไม่ทราบรายละเอียดและความชัดเจนของทีโออาร์และการดำเนินงานของ กสทช.ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร คาดว่าน่าจะเป็นปลายปีนี้จึงจะมีความชัดเจนได้ เพราะแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน เช่น ในบราซิล มีประชากรกว่า 190 ล้านคน ใช้กลุ่มตัวอย่างประมาณ 6,000 ครัวเรือนเราชนะประมูลเมื่อปี 2556 ได้สัญญานาน 5 ปี จะเริ่มปี 2558 ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย มีประชากรแค่ 28 ล้านคนก็ใช้กลุ่มตัวอย่างไม่เท่ากัน แต่บริษัทน ก็ชนะประมูลเมื่อต้นปีนี้ได้สิทธิ์ 5 ปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานปี 2558 หรือที่เยอรมนีมีประชาก 80 ล้านคน แต่จำนวนกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 ครัวเรือน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นบริษัทฯ คาดว่าจะต้องลงทุนขั้นต่ำประมาณ 100-150 ล้านบาทเพื่อลงทุนทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากร และการคัดสรรครัวเรือนตัวอย่างที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเท่าใด เพราะแต่ละประเทศกลุ่มครัวเรือนมีความแตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ และพฤติกรรมการชมสื่อ เป็นต้น โดยคาดว่าในช่วงปีต่อๆ ไปจะต้องลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 150-200 ล้านบาท ซึ่งจีเอฟเคมีความพร้อมอยู่แล้ว ด้วยประสบการณ์ที่ทำวิจัยทั้งทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์มานานกว่า 40 ปี
นางดารณีกล่าวต่อถึงตลาดรวมวิจัยในไทยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกนี้คาดว่าตลาดรวมไม่มีการเติบโตและแต่ละบริษัทฯ ก็อยู่ในภาวะเหมือนกัน เนื่องจากปัญหาทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยในส่วนของบริษัทเองก็พลาดเป้าหมายไม่ถึงเป้าหมาย ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 50% คาดว่าทั้งปีตลาดรวมจะเติบโตประมาณ 7% ซึ่งปีที่แล้วก็เติบโตประมาณ 7% จากตลาดรวม 5,153 ล้านบาท
“แต่ในภาพรวมไทยยังเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกิจการวิจัย ไทยถือเป็นอันดับที่ 26 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของเอเซียแปซิฟิก โดยมูลค่ายังน้อยและมีโอกาสเติบโตอีกมาก เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ใช้ต่อการวิจัยต่อคนพบว่าไทยใช้เพียง 2.39 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ขณะที่เม็ดเงินทางด้านโฆษณาเฉลี่ย 62.21 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี แต่ประเทศที่เป็นตลาดใหญ่เช่น ออสเตรเลีย ใช้งบวิจัยประมาณ 32.18 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี และใช้งบโฆษณามากถึง 599.61 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี หรือนิวซีแลนด์ใช้เงินประมาณ 21.55 เหรียญสหรัฐในแง่การทำวิจัย และใช้ประมาณ 374.53 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปีในแง่การโฆษณา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์เริ่มดีขึ้น สังเกตุจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีปริมาณลูกค้าและยอดบิลลิ่งเริ่มเข้ามามากเพียงแค่ 2 สัปดาห์แรกเดือนนี้เทียบเท่ากับปริมาณงานและยอดบิลลิ่งครึ่งปีแรกนี้เลยทีเดียว มีทั้งลูกค้าเก่าที่ชะลองานไว้และลูกค้าใหม่ รวมทั้งต่างประเทศที่ติดต่อเข้ามาด้วย เช่น เอสซีจีกรุ๊ป เป๊ปซี่โคเซอร์วิส โตโยต้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีแผนที่จะออกนวัตกรรมใหม่ในการทำงานให้กับลูกค้าคือ Market Opportunity and Innovation หรือ MoI คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรมการเสนอและสร้างโอกาสสำหรับความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่ และมีแผนที่จะรวมบริษัทในเครืออีกแห่งคือ บริษัท จีเอฟเครีเทล แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด มาเข้ารวมกันเป็น บริษัท วัน จีเอฟเค เข้ามาอยู่ในบริษัทเดียวกันชื่อใหม่ว่า บริษัท วัน จีเอฟเค จำกัด
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 15 กรกฎาคม 2557