จีนใช้ไทยเป็นฐานบุกอาเซียน

Post Reply
brid.siriwan
Posts: 3942
Joined: 05 Apr 2013, 08:47

จีนใช้ไทยเป็นฐานบุกอาเซียน

Post by brid.siriwan »

จีนใช้ไทยเป็นฐานบุกอาเซียน

เมื่อต้นสัปดาห์ พิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ บริษัทวิจัยของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ ผลการสำรวจความวิตกกังวลและความกลัวของประชาชนในเอเชีย 44 ประเทศ ที่จัดทำขึ้นช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน หลังจากที่ จีนส่งเรือรบ เครื่องบิน แท่นขุดเจาะน้ำมัน เข้าไปขุดเจาะสำรวจน้ำมันในบริเวณพิพาทกลางทะเล ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความหวาดกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งทางทหารขึ้น

ความหวาดกลัวของ ชาวฟิลิปปินส์ พุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 93% ตามด้วย ญี่ปุ่น 85% และ เวียดนาม 84% ผลจากความกลัวดังกล่าว ทำให้ประชาชนในเอเชียต้องหันมา “เลือกข้าง” ระหว่าง “จีน” กับ “สหรัฐฯ” กันมากขึ้น เหมือนสมัย “สงครามเย็น” ไม่มีผิด

มาดูตัวอย่างกันครับ ชาวเอเชียจะเลือกอยู่ข้างไหน ระหว่าง “จีน” กับ “สหรัฐฯ” ไล่กันตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกเรียงกันมาเลย ชาวญี่ปุ่น เลือกข้างจีน 7% เลือกข้างสหรัฐฯ 66% ชาวเวียดนาม เลือกข้างจีน 16% เลือกข้างสหรัฐฯ 76% ชาวอินเดีย เลือกข้างจีน 31% เลือกข้างสหรัฐฯ 55% ชาวฟิลิปปินส์ เลือกข้างจีน 38% เลือกข้างสหรัฐฯ 92% ชาวเกาหลีใต้ เลือกข้างจีน 56% เลือกข้างสหรัฐฯ 82% ชาวอินโดนีเซีย เลือกข้างจีน 66% เลือกข้างสหรัฐฯ 59%

ชาวไทย เลือกข้างจีน 72% เลือกข้างสหรัฐฯ 73% ชาวมาเลเซีย เลือกข้างจีน 74% เลือกข้างสหรัฐฯ 51% ชาวบังกลาเทศ เลือกข้างจีน 77% เลือกข้างสหรัฐฯ 76% ชาวปากีสถาน เลือกข้างจีน 78% เลือกข้างสหรัฐฯ 14%

จากผลสำรวจของพิวจะเห็นว่า คนไทยอยู่ตรงกลางๆ คือ เลือกข้างจีน 72% เลือกข้างสหรัฐฯ 73% แตกต่างกันเพียงเปอร์เซ็นต์เดียว ประเทศที่เลือกข้างจีนมากกว่าสหรัฐฯ มีเพียง 4 ประเทศคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บังกลาเทศ และ ปากีสถาน ที่เหลือเลือกข้างสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่

ข้อมูลนี้ถือว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะประเทศที่เลือกข้างสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ มีปัญหากับจีนอยู่แล้ว จึงต้องเลือกข้างสหรัฐฯ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย 2 ประเทศมุสลิมที่เลือกข้างจีนเพราะมีเศรษฐีชาวจีนอยู่เยอะ ค้าขายกับจีนค่อนข้างมาก มีเพียง ประเทศไทย ประเทศเดียวเท่านั้นที่ถือว่า “เป็นกลาง” ไม่เอียงข้างใดข้างหนึ่งมากนัก ชอบพอๆกันทั้งสองฝ่าย

คุณลักษณะแบบนี้ของ “คนไทย” ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ไทยสามารถ “เป็นมิตร” กับ 2 ประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลกได้อย่างเท่าเทียมกัน ผมจึงไม่แปลกใจ ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการปฏิวัติรัฐบาลไทยที่เอียงข้างสหรัฐฯ จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ จนในที่สุดสหรัฐฯก็ต้องหันมาคืนดีกับไทย ไม่อยากให้ไทยเอียงข้างไปหาจีนมากเกินไป

ผลจาก “ความเป็นกลางของคนไทย” ยังส่งผลให้ “เงินทุนสหรัฐฯและจีน” หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในเมืองไทยเพิ่มขึ้น ใน บทบรรณาธิการ ของวารสาร “การเงินธนาคาร” ฉบับเดือนกรกฎาคมที่กำลังวางแผงระบุว่า “จีนจะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน” อันเป็นผล
สืบเนื่องจากความขัดแย้งของจีนกับบางประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จนถึงขั้นเกิดจลาจลเผาโรงงานจีนขึ้นในเวียดนาม

“การเงินธนาคาร” รายงานว่า ผลจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ เวียดนาม ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามสั่งให้บริษัทสิ่งทอกว่าพันแห่ง เลิกสั่งซื้อวัตถุดิบจากจีนทั้งหมด ทำให้จีนจำเป็นต้องหา “ประเทศที่สาม” เพื่อ เป็นแหล่งลงทุนแทน เพื่อลบภาพความขัดแย้งของบริษัทจีนกับประชาชนท้องถิ่นลงให้ได้
ในที่สุด รัฐบาลจีน ก็ เลือกประเทศไทย เป็น ประเทศที่สาม สำหรับการลงทุนของจีน เพื่อต่อยอดการลงทุนไปยังประเทศอื่น

ในอาเซียน โดยบริษัทขนาดใหญ่ของจีนจะมาร่วมทุนกับบริษัทไทยจัดตั้งบริษัทใหม่ ฝ่ายไทยถือหุ้น 51% ฝ่ายจีนถือหุ้น 49% เพื่อให้บริษัทใหม่มี “สัญชาติไทย” จะได้กลับเข้าไปลงทุนในประเทศที่ขัดแย้งกับจีนได้

งานนี้ต้องถือว่า ประเทศไทยถูกหวย จีนวันนี้มีเงินทุนสำรองล้นเหลือ ถ้ารัฐบาลไทยออกมาตรการรองรับให้ดีๆ ไทยจะจับมือกับจีนบุกตลาดอาเซียน 600 ล้านคนได้อย่างสบาย.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 18 ก.ค 2557
Post Reply

Return to “แจ้งข่าว ไทย ERP และข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ”