Page 1 of 1

รพ.เอกชน 12 แห่ง "ขายไข่ – อุ้มบุญ-เลือกเพศ "ส่อผิดกม.

Posted: 23 Jul 2014, 14:28
by brid.siriwan
รพ.เอกชน 12 แห่ง "ขายไข่ – อุ้มบุญ-เลือกเพศ "ส่อผิดกม.

เล็งตรวจสถานพยาบาลเอกชน 12 แห่ง "ขายไข่ – อุ้มบุญ-เลือกเพศ" ผิดกฎหมาย หมอสูติชี้ การขำไข่ออกนอกร่างกายต้องฉีดยากระตุ้นที่มีความเสี่ยงเสียชีวิต คาด ผู้ขายไข่คงไม่ได้รับคำอธิบาย

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์สื่อต่างชาติ ว่า ชาวจีนนิยมเดินมาใช้บริการเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ในประเทศไทย โดยเฉพาะการเลือกเพศบุตร เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกและมาตรฐานดีนั้น นอกจากจะเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล ปี 2541 แล้ว ยังผิดตามประกาศแพทยสภา ฉบับที่ 21 ปี 2554 เรื่องมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งกำหนดว่าการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก ทำได้เฉพาะการตรวจวินิจฉัยโรคตามความจำเป็น ต้องไม่กระทำในลักษณะการเลือกเพศ โดยสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้บริการต้องได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย

นพ.บุญเรือง กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เพื่อควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและสถานพยาบาล ให้ดำเนินการตามกฎระเบียบ และยืนยันว่า ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามไม่ให้เลือกเพศ ขายไข่ หรืออุ้มบุญ จะมีการตรวจสอบสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนให้บริการอย่างถูกต้อง ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 45 แห่ง และกำลังจะขึ้นทะเบียนอีก 7-8 แห่ง หากพบสถานพยาบาลใดละเมิด จะมีโทษถึงขั้นปิดสถานพยาบาลและถอนใบประกอบวิชาชีพ

ด้าน พ.ต.ท.ฉัตรมงคล วศินอมร รองผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กล่าวว่า หากมีการใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจจนเกิดการค้าขายเด็กเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสถานพยาบาล แพทย์ ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องถูกจำคุก 15 ปี และกรณีที่สถานพยาบาลเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดกฎก็ถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน ขณะนี้ทางตำรวจได้รับเบาะแสว่ามีสถานพยาบาลเอกชน ที่มีการกระทำเข้าข่ายผิดระเบียบข้างต้น อย่างน้อย 12 แห่ง ทั้งในกทม. และต่างจังหวัด

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า จากนี้ สบส. จะเชิญคลินิกสูตินารีเวช และสถานพยาบาลที่มีแผนกสูตินารีเวช 300 แห่ง เข้ามาชี้แจง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการใชเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้หากพบว่าแพทย์เป็นผู้กระทำผิดจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาต ปรับ 60,000 จำคุก 3 ปี และหากยังพบการกระทำผิดซ้ำจะเพิกถอนใบอนุญาตและสั่งปิดกิจการ

นพ.สมศักดิ์ โล่เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภามีระเบียบข้อปฏิบัติอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแล้ว การอุ้มบุญอย่างชัดเจนว่า ต้องทำให้คู่สมรสตามกฎหมายเท่านั้น แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่าต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนด้วยหรือไม่ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดถึงขั้นนั้น และการอุ้มบุญต้องกระทำการโดยผ่านความสมัครใจ และต้องเป็นญาติโดยสายเลือดของฝ่ายสามี หรือภรรยาเท่านั้น ไม่ให้มีการซื้อขายหรือทำธุรกิจเด็ดขาด ที่สำคัญคือแพทย์ผู้ดำเนินการต้องได้รับการรับรอง ทำในสถานที่ปลอดภัยอนุญาตที่เป็นผู้กระทำการ อย่างไรก็ตามขณะนี้ที่พบว่ามีการซื้อขายไข่ รับจ้างอุ้มบุญและเลือกเพศนั้น ถือว่ามีความผิด

“ ที่ผ่านมามีการร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันทางการแพทย์ พ.ศ...ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ปี 2553 ผ่านชั้นกฤษฎีกาแล้ว แต่ติดที่สภายังไม่ให้การรับรอง คาดว่าถ้ามีรัฐบาลใหม่ก็น่าจะผลักดันเรื่องนี้ต่อ ขณะเดียวกันตอนนี้เราได้บอกกับ อย.ไปแล้วว่าอยากให้ออกประกาศห้ามนำสารคัดหลั่ง หรือสเปิร์มเข้ามาในประเทศไทยด้วย เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการซื้อสารคัดหลั่งของชาวต่างชาติแล้วพบว่าเชื้อเอชไอวี ” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

ด้านรศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การทำเด็กหลอดแก้วจำเป็นต้องนำไข่ออกมานอกร่างกายของฝ่ายหญิง ซึ่งต้องผ่านหลายกระบวนการคือต้องมารับการฉีดยากระตุ้นไข่ทุกวันเป็นระยะเวลา 10 วัน ซึ่งกระบวนการนำไข่ออกมานอกร่างกายหญิงสาวนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เกิดการอักเสบ อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ แต่ในกระบวนการซื้อขายเชื่อว่าผู้หญิงที่ไปขายไข่ไม่ทราบเรื่องนี้ และจะเป็นอันตรายมากขึ้นเพราะเมื่อเป็นการซื้อขายที่ต้องการผลกำไรมากจึงมีการให้ยากระตุ้นไข่ให้ได้เยอะที่สุด ยิ่งมีความเสี่ยงมากที่จะเกิดกรณีร่างกายตอบสนองกับยามากเกินไป เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ที่สำคัญเมื่อเกิดการอักเสบแทรกซ้อนในอนาคตเสี่ยงที่จะไม่สามารถมีลูกได้.

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 22ก.ค 2557