เจ้าพ่อน้ำเมาไทยเบฟฯ ฮุบ "เอส"
Posted: 29 Oct 2014, 13:23
เจ้าพ่อน้ำเมาไทยเบฟฯ ฮุบ "เอส"
เสริมสุข ยอมขายแบรนด์ เอส ให้ไทยเบฟบริหารต่อทั้งหมด 1,560 ล้านบาท เหลือแค่สัญญารับจ้างผลิตให้เท่านั้น
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลท. ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติเห็นชอบให้บริษัทขายเครื่องหมายการค้า เอส ให้แก่ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้น 100% ด้วยมูลค่า 1,560 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า บริษัทจะเข้าทำสัญญาผลิต และจัดจำหน่ายสินค้ากับผู้ซื้อ หรือบุคคลที่ผู้ซื้อกำหนด โดยชำระค่าตอบแทนตามยอดจัดจำหน่ายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัวเครื่องหมายการค้า เอส ตั้งแต่เดือนพ.ย.55 ที่ผ่นามา และใช้เครื่องหมายดังกล่าวดำเนินธุรกิจมา 2 ปี จนสิ้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งทางการตลาด12%ของตลาดเครื่องดื่มอัดลมทั้งหมด ที่มีมูลค่าตลาด 40,000 ล้านบาท
สำหรับเงินที่ได้จากการขายเอสนั้น จะใช้เป็นทุนในการดำเนินงาน และใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของกิจการ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ศักยภาพในการจัดจำหน่ายและการผลิตต่อไป ซึ่งการสร้างแบรนด์ในธุรกิจต้องอาศัยเวลา และใช้เงินลงทุนมาก และในการขายแบรนด์ครั้งนี้ ทำให้บริษัทใช้เงินไปในการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถที่สูงสุดในการขาย และการจำหน่าย ขณะที่ยังคงรับผลิตและจำหน่ายสิน เวลา 16:30 น.
ค้าเครื่องหมายการค้า เอส อยู่ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องจัดสรรเงินลงทุนจำนวนมากในการสร้างแบรนด์เพิ่มเติม แต่อยางใด
ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขายแบรนด์ของเสริมสุขครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า เพราะมูลค่าการเสนอขายค่อนข้างสูง และการพัฒนาแบรนด์ที่ผ่านมาใช้เวลา 2 ปี ซึ่งยอดขายยังเป็นรองทั้ง 2 บริษัทใหญ่อย่าง โค้ก และเป็บซี่ สะท้อนให้เห็นว่าหากบริหารต่อไปต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งต่อจากนี้บริษัทในกลุ่มไทยเบฟ ต้องทำการตลาดเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นยอดขายสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ผลประกอบการปีที่ผ่านมาของเสริมสุข ยังตกอยู่ในภาวะขาดทุน จากยอดขายที่ลดลง หลังหมดสัญญากับเป๊บซี่ รวมทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายคงที่ ด้านค่าแรงพนักงาน แต่อย่างไรก็ตามประเมินว่าปีนี้ จะมีรายได้จากรายการพิเศษเสริมเข้ามาทั้งการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท และการขายแบรนด์เอส
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 28 ตุลาคม 2557
เสริมสุข ยอมขายแบรนด์ เอส ให้ไทยเบฟบริหารต่อทั้งหมด 1,560 ล้านบาท เหลือแค่สัญญารับจ้างผลิตให้เท่านั้น
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลท. ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติเห็นชอบให้บริษัทขายเครื่องหมายการค้า เอส ให้แก่ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้น 100% ด้วยมูลค่า 1,560 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า บริษัทจะเข้าทำสัญญาผลิต และจัดจำหน่ายสินค้ากับผู้ซื้อ หรือบุคคลที่ผู้ซื้อกำหนด โดยชำระค่าตอบแทนตามยอดจัดจำหน่ายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัวเครื่องหมายการค้า เอส ตั้งแต่เดือนพ.ย.55 ที่ผ่นามา และใช้เครื่องหมายดังกล่าวดำเนินธุรกิจมา 2 ปี จนสิ้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งทางการตลาด12%ของตลาดเครื่องดื่มอัดลมทั้งหมด ที่มีมูลค่าตลาด 40,000 ล้านบาท
สำหรับเงินที่ได้จากการขายเอสนั้น จะใช้เป็นทุนในการดำเนินงาน และใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของกิจการ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ศักยภาพในการจัดจำหน่ายและการผลิตต่อไป ซึ่งการสร้างแบรนด์ในธุรกิจต้องอาศัยเวลา และใช้เงินลงทุนมาก และในการขายแบรนด์ครั้งนี้ ทำให้บริษัทใช้เงินไปในการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถที่สูงสุดในการขาย และการจำหน่าย ขณะที่ยังคงรับผลิตและจำหน่ายสิน เวลา 16:30 น.
ค้าเครื่องหมายการค้า เอส อยู่ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องจัดสรรเงินลงทุนจำนวนมากในการสร้างแบรนด์เพิ่มเติม แต่อยางใด
ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขายแบรนด์ของเสริมสุขครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า เพราะมูลค่าการเสนอขายค่อนข้างสูง และการพัฒนาแบรนด์ที่ผ่านมาใช้เวลา 2 ปี ซึ่งยอดขายยังเป็นรองทั้ง 2 บริษัทใหญ่อย่าง โค้ก และเป็บซี่ สะท้อนให้เห็นว่าหากบริหารต่อไปต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งต่อจากนี้บริษัทในกลุ่มไทยเบฟ ต้องทำการตลาดเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นยอดขายสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ผลประกอบการปีที่ผ่านมาของเสริมสุข ยังตกอยู่ในภาวะขาดทุน จากยอดขายที่ลดลง หลังหมดสัญญากับเป๊บซี่ รวมทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายคงที่ ด้านค่าแรงพนักงาน แต่อย่างไรก็ตามประเมินว่าปีนี้ จะมีรายได้จากรายการพิเศษเสริมเข้ามาทั้งการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท และการขายแบรนด์เอส
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 28 ตุลาคม 2557