Page 1 of 1

ไทยเบฟ” เปิดเกมรบ ลั่น 6 ปีท็อป 2 อาเซียน

Posted: 04 Nov 2014, 15:54
by brid.siriwan
“ไทยเบฟ” เปิดเกมรบ ลั่น 6 ปีท็อป 2 อาเซียน
ฐาปน สิริวัฒนภักดี
“ไทยเบฟ” ลั่นอีก 6 ปี ภายในปี 2563 ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำ 1 ใน 2 ของตลาดเครื่องดื่มทุกประเภทในอาเซียน เปิดแผนรุก ปรับโครงสร้างสินค้าและผู้บริหาร ลงทุน 5,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมใช้บริษัทในเครือเป็นหัวหอกรุกทั้งในไทยและต่่างประเทศ หวังทวงแชมป์เบียร์ในไทยคืน พร้อมจ่อเทกโอเวอร์เบียร์พรีเมียม

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำหนดยุทธศาสตร์ในการรุกตลาดเครื่องดื่มไว้ ด้วยการมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สินค้า ควบคู่ไปกับการสร้างยอดขายและผลกำไรทางธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ ใหม่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการบริหารงานมากที่สุด ด้วยการจัดทัพธุรกิจใหม่แบ่งออกเป็น 3 กล่มธุรกิจหลัก คือ 1. กลุ่มสุรา 2. กลุ่มเบียร์ และ 3. กลุ่มเครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ หรือนอนแอลกอฮอล์ เพื่อให้แต่ละกลุ่มมีสินค้าที่ชัดเจนและสามารถทำการตลาดได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ

อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างผู้บริหารและผู้ดูแลในแต่ละกลุ่มใหม่ด้วย และกำหนดสินค้าตัวหลักในการรุกตลาด กล่าวคือ สุรา จะใช้แบรนด์รวงข้าว แสงโสม และเบลนด์ 285 และ 285 ซิกเนเจอร์ เป็นสินค้าเรือธงทำตลาด เน้นตลาดประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และพม่า

นายฐาปนกล่าวว่า บริษัทฯ ต้องการที่จะรุกตลาดเบียร์พรีเมียม ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยเบฟฯ ยังขาดอยู่เพื่อให้มีสินค้าครบทุกตลาด ด้วยการซื้อเบียร์ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นกับเยอรมนี ขณะที่ในตลาดล่างซึ่งเป็นตลาดใหญ่นั้นเบียร์ช้างมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัทในกลุ่มของไทยเบฟที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มทั้งหลาย เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) มีสินค้าหลายแบรนด์ที่ทำตลาด เช่น แบรนด์ช้าง ซึ่งประกอบด้วย เบียร์ โซดา น้ำดื่ม และสุรา แสงโสม แม่โขง และยังมีเบียร์อาชาอีกด้วย เป็นต้น, บริษัท โออิชิ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครื่องดื่มชาเขียวแบรนด์ โออิชิ โออิชิฟรุตโตะ และร้านอาหารในเครือโออิชิ, บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เจ้าของสินค้าเครื่่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์ เอส น้ำดื่มคริสตัล และเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้เสริมสุขได้ขายแบรนด์เอสให้ไทยเบฟไปแล้ว และอีกบริษัทในเครือข่ายคือ บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จำกัด หรือ เอฟ แอนด์ เอ็น ที่ไทยเบฟได้เทกโอเวอร์มาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่มหลายแบรนด์รายใหญ่ในอาเซียน

นายฐาปนกล่าวต่อว่า วิสัยทัศน์การดำเนินงานของไทยเบฟ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2563 (เริ่มตั้งแต่ ปี 2558-2563) กลุ่มไทยเบฟจะต้อ'ก้าวขึ้นเป็นผู้นำติด 1 ใน 2 ของผู้นำตลาด เครื่องดื่มในอาเซียนให้ได้ ในทุกกลุ่มสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ทั้งสุรา เบียร์ เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ทุกแบรนด์ที่ไทยเบฟเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศให้ได้ และจะต้องมีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้ไม่ต่ำกว่า 12-15% ทุกปี ซึ่งบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย

รวมทั้งมีแผนที่จะปรับสัดส่วนรายได้ใหม่ ด้วยการสร้างรายได้ในกลุ่มเครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์เพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีส้ดส่วน 25% และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 75% และการเพิ่มสัดส่วน รายได้ที่มาจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีรายได้จากต่างประเทศประมาณ 25-30%

นายฐาปนย้ำด้วยว่า บริษัทฯ ต้องการทวงความเป็นผู้นำในตลาดเบียร์ที่มีมูลค่า 125,000 ล้านบาท กลับคืนมาให้ได้ภายในปี 2563 ด้วยส่วนแบ่งประมาณ 45% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งประมาณ 30%

โดยผลประกอบการของไทยเบฟฯ ปีที่แล้ว (ปี 2556) พบว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมประมาณ 155,771 ล้านบาท มีกำไรประมาณ 19,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกปี 2557 มีรายได้รวมประมาณ 81,000 ล้านบาท มีกำไร 24,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า นับจากนี้ไปอีก 3 ปี ถ้าสามารถสร้างการเติบโตได้เป็นเลขสองหลัก บริษัทฯ จะสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 200,000 ล้านบาท

แน่นอนว่าการที่ไทยเบฟฯ จะดำเนินไปให้ถึงจุดหมายได้นั้น บริษัทฯ ต้องดำเนินการอย่างเต็มที่และเชิงรุก ตามที่นายฐาปนกล่าวไว้ถึงยุทธวิธีการรุกตลาดว่า บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานไว้ 5 ประการหลัก คือ 1. การสร้างองค์กรและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพทั้งรายได้และกำไร

2. การสร้างความหลากหลายของตลาดและผลิตภัณฑ์ที่จะทำการตลาดในแต่ละตลาด โดยให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียน มีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มอาเซียน ซึ่งปัจจุบันทั้งกลุ่มมีส่วนแบ่ง 14% และก้าวขึ้นเป็นผู้นำติด 1 ใน 5 ของตลาดเอเชีย ด้วยสินค้าจาก 5 บริษัท คือ ไทยเบฟ, โออิชิ, เสริมสุข, เอฟแอนด์เอ็น และอินเตอร์เนชั่นแนลเบฟเวอเรจ

3. การมีแบรนด์สินค้าที่มีความแข็งแกร่งในทุกผลิตภัณฑ์ 4. การมีระบบการขายและการจัดจำหน่าย และการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง และ 5. การดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นมืออาชีพ

สำหรับแผนลงทุนนั้น บริษัทฯ ตั้งงบประมาณการลงทุนในแต่ละปีไว้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงระบบการผลิต และการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ การขยายกำลังการผลิต และอื่นๆ

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2557