ชี้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐไม่ได้ผล
Posted: 13 Nov 2014, 19:04
ชี้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐไม่ได้ผล
โฆสิต ติงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐไม่สำแดงผล เหตุหนี้ครัวเรือนล้นปรี่ ด้านส.อ.ท. จ่อชงกรอ.ลดหย่อนภาษีเอสเอ็มอี
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยภายในงานเสวนาเอสเอ็มอี กับความมั่นคงรากฐานเศราฐกิจไทย จัดโดยนิตยสารเส้นทางเศรษฐีว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่ประกาศออกมา เชื่อว่า จะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวในปี 58 มากนัก เพราะขณะนี้คนไทยกำลังประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อลดลง สิ่งที่ภาครัฐ ควรสนับสนุน สร่งความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดกลาง เพราะจะเป็นฐานสำคัญ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง เกิดการจ้างงานอย่างแท้จริง และที่สำคัญจะช่วยลดการเหลื่อมล้ำให้กับระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
“ภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทยขณะนี้ อาจทำให้ไม่ตอบสนอง ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เพราะมีแรงกดดันทำให้ต้องเก็บเงินไว้ดูแลครอบครัว มากกว่านำเงินออกมาใช้จ่าย ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 -5 ปีที่ผ่านมา หรือเรียกว่า ประชานิยมแบบเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันหลายประเทศเลิกใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว และตอนนี้ควรสนับสนุนเอสเอ็มอีขนาดกลางให้แข็งแกร่ง เพราะหากรอพึ่งเอกชนขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท แม้จะส่งผลดีด้านเศรษฐกิจ แต่อาจสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับเศรษฐกิจไทยมมากยิ่งขึ้น หรือหากรอพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติก็มีความเสี่ยง เพราะเมื่อเข้าสู่การประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)นักลงทุนจะมีตัวเลือกประเทศที่จะลงทุนมากขึ้น”
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในเร็วๆนี้ ส.อ.ท. เตรียมเสนอมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จดทะเบียนกับภาครัฐให้ถูกต้อง ได้แก่ เสนอนิรโทษกรรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ให้มีการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และกำหนดกรอบภาษีนิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จัดกลุ่มคำนวณตามรายได้ กำไร และทุนจดทะเบียนของผู้ประกอบการ โดยวางกรอบการคิดภาษีเบื้องต้น คือ กลุ่มที่มีรายได้น้อย จะคิดภาษี 5 % รายได้ปานกลาง 10 % รายได้สูง คิดภาษี 15 % ส่วนแต่ละกลุ่มจะแบ่งรายได้ กำไร ทุนฯ อย่างไร อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ เช่น มีกำไร 5-10 ล้านบาท อาจคิดภาษี 5% คาดว่า จะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2557
โฆสิต ติงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐไม่สำแดงผล เหตุหนี้ครัวเรือนล้นปรี่ ด้านส.อ.ท. จ่อชงกรอ.ลดหย่อนภาษีเอสเอ็มอี
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยภายในงานเสวนาเอสเอ็มอี กับความมั่นคงรากฐานเศราฐกิจไทย จัดโดยนิตยสารเส้นทางเศรษฐีว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่ประกาศออกมา เชื่อว่า จะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวในปี 58 มากนัก เพราะขณะนี้คนไทยกำลังประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อลดลง สิ่งที่ภาครัฐ ควรสนับสนุน สร่งความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดกลาง เพราะจะเป็นฐานสำคัญ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง เกิดการจ้างงานอย่างแท้จริง และที่สำคัญจะช่วยลดการเหลื่อมล้ำให้กับระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
“ภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทยขณะนี้ อาจทำให้ไม่ตอบสนอง ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เพราะมีแรงกดดันทำให้ต้องเก็บเงินไว้ดูแลครอบครัว มากกว่านำเงินออกมาใช้จ่าย ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 -5 ปีที่ผ่านมา หรือเรียกว่า ประชานิยมแบบเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันหลายประเทศเลิกใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว และตอนนี้ควรสนับสนุนเอสเอ็มอีขนาดกลางให้แข็งแกร่ง เพราะหากรอพึ่งเอกชนขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท แม้จะส่งผลดีด้านเศรษฐกิจ แต่อาจสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับเศรษฐกิจไทยมมากยิ่งขึ้น หรือหากรอพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติก็มีความเสี่ยง เพราะเมื่อเข้าสู่การประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)นักลงทุนจะมีตัวเลือกประเทศที่จะลงทุนมากขึ้น”
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในเร็วๆนี้ ส.อ.ท. เตรียมเสนอมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จดทะเบียนกับภาครัฐให้ถูกต้อง ได้แก่ เสนอนิรโทษกรรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ให้มีการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และกำหนดกรอบภาษีนิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จัดกลุ่มคำนวณตามรายได้ กำไร และทุนจดทะเบียนของผู้ประกอบการ โดยวางกรอบการคิดภาษีเบื้องต้น คือ กลุ่มที่มีรายได้น้อย จะคิดภาษี 5 % รายได้ปานกลาง 10 % รายได้สูง คิดภาษี 15 % ส่วนแต่ละกลุ่มจะแบ่งรายได้ กำไร ทุนฯ อย่างไร อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ เช่น มีกำไร 5-10 ล้านบาท อาจคิดภาษี 5% คาดว่า จะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2557