พาณิชย์ตั้ง 3 ยุทธศาสตร์รับเออีซี
Posted: 13 Dec 2014, 09:17
?พาณิชย์ตั้ง 3 ยุทธศาสตร์รับเออีซี?
พาณิชย์วาง 3 ยุทธศาสตร์รับเปิดเออีซี เน้นค้าชายแดน-ตั้งโรงงานในเพื่อนบ้าน-เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน พร้อมดึงเอกชนเป็นหุ้นส่วนดันส่งออกพุ่ง
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายในงานสัมมนา ยุทธศาสตร์การค้าหลัง เออีซี 2015 และความร่วมมือทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน” ว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้วางยุทธศาสตร์การค้าหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) 3 ด้าน พร้อมทั้งดึงเอกชนร่วมกันเป็นหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนการค้าและการส่งออกไทยในตลาดโลกมากขึ้น ประกอบด้วย การเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการค้าชายแดน, หุ้นส่วนเพื่อพัฒนาขีดความสามรถของผู้ประกอบการไทย และหุ้นส่วนเพื่อการขับเคลื่อนการค้าสู่เวทีโลก โดยใช้อาเซียนเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งสินค้าออกไปยังตลาดโลก
สำหรับการค้าชายแดน และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค โดยรัฐบาลจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เชื่อมโยงกันภายในประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะปรับปรุงต้นทุนโลจิสติกส์ให้ลดลงมาอยู่ที่ 13% ต่อจีดีพีในปี 65
นอกจากนี้จะเร่งส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน โดยได้ตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านล้านบาท ในปี 58 จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท
“การค้าชายแดนจะมุ่งให้มีการเชื่อมโยงระหว่างเมืองหน้าด่าน กับเมืองศูนย์กลางของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เศรษฐกิจในภูมิภาคขยายตัว ลดความเหลื่อมล้ำ และจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันก็จะมีการผลักดันให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านตามจังหวัดชายแดนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและอำนวยความสะดวกในการค้าชายแดนและผ่านแดนได้ง่ายขึ้น”
นางอภิรดี กล่าวว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนการค้าสู่เวทีโลกนั้น ภาครัฐส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากสามารถใช้แรงงานที่ถูกและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี)ในหลายๆตลาด ซึ่งจะช่วยให้ไทยส่งออกได้ง่ายและเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันกระทรวงจะพยายามให้ผู้ประกอบการพัฒนาการผลิต ตราสินค้า ยกระดับการผลิตทั้งห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งจะรวมกลุ่มผู้ประกอบการเป็นคลัสเตอร์ ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่พาผู้ประกอบการรายย่อยออกสู่ตลาดอาเซียน
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 12 ธันวาคม 2557
พาณิชย์วาง 3 ยุทธศาสตร์รับเปิดเออีซี เน้นค้าชายแดน-ตั้งโรงงานในเพื่อนบ้าน-เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน พร้อมดึงเอกชนเป็นหุ้นส่วนดันส่งออกพุ่ง
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายในงานสัมมนา ยุทธศาสตร์การค้าหลัง เออีซี 2015 และความร่วมมือทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน” ว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้วางยุทธศาสตร์การค้าหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) 3 ด้าน พร้อมทั้งดึงเอกชนร่วมกันเป็นหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนการค้าและการส่งออกไทยในตลาดโลกมากขึ้น ประกอบด้วย การเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการค้าชายแดน, หุ้นส่วนเพื่อพัฒนาขีดความสามรถของผู้ประกอบการไทย และหุ้นส่วนเพื่อการขับเคลื่อนการค้าสู่เวทีโลก โดยใช้อาเซียนเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งสินค้าออกไปยังตลาดโลก
สำหรับการค้าชายแดน และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค โดยรัฐบาลจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เชื่อมโยงกันภายในประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะปรับปรุงต้นทุนโลจิสติกส์ให้ลดลงมาอยู่ที่ 13% ต่อจีดีพีในปี 65
นอกจากนี้จะเร่งส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน โดยได้ตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านล้านบาท ในปี 58 จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท
“การค้าชายแดนจะมุ่งให้มีการเชื่อมโยงระหว่างเมืองหน้าด่าน กับเมืองศูนย์กลางของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เศรษฐกิจในภูมิภาคขยายตัว ลดความเหลื่อมล้ำ และจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันก็จะมีการผลักดันให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านตามจังหวัดชายแดนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและอำนวยความสะดวกในการค้าชายแดนและผ่านแดนได้ง่ายขึ้น”
นางอภิรดี กล่าวว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนการค้าสู่เวทีโลกนั้น ภาครัฐส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากสามารถใช้แรงงานที่ถูกและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี)ในหลายๆตลาด ซึ่งจะช่วยให้ไทยส่งออกได้ง่ายและเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันกระทรวงจะพยายามให้ผู้ประกอบการพัฒนาการผลิต ตราสินค้า ยกระดับการผลิตทั้งห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งจะรวมกลุ่มผู้ประกอบการเป็นคลัสเตอร์ ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่พาผู้ประกอบการรายย่อยออกสู่ตลาดอาเซียน
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 12 ธันวาคม 2557