พาณิชย์เร่งสอบ 40 บริษัทหวั่นแชร์ลูกโซ่
Posted: 16 Dec 2014, 17:32
?พาณิชย์เร่งสอบ 40 บริษัทหวั่นแชร์ลูกโซ่?
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า แฉ 40 บริษัททุนจดทะเบียนสูงเวอร์ แต่ไม่ประกอบธุรกิจ สั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด่วน หวั่นเป็นแชร์ลูกโซ่หลอกชาวบ้าน
น.ส.ผ่องพรรณเจียรวิริยะพันธ์อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ กำลังเร่งตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนกับกรมฯ และมีทุนจดทะเบียนสูงผิดปกติ แต่ไม่มีการประกอบธุรกิจ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีอยู่ 30-40 บริษัทที่เข้าข่าย โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบบริษัท และเรียกตรวจสอบบัญชี รวมทั้งจะประสานให้กรมสรรพากรเข้าไปตรวจสอบด้วย เพราะเกรงว่าจะเป็นการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดำเนินการที่ไม่ปกติ หรือตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน
“บริษัทเหล่านี้ ไม่ส่งงบการเงิน หรือบางแห่งมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน แต่ตอนจดทะเบียน ได้จดทะเบียนทุนจัดตั้งไว้สูงมาก ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยกรมฯ เป็นห่วงว่า พวกที่ตั้งธุรกิจโดยอ้างว่ามีทุนจดทะเบียนสูงๆ แบบนี้ คงไม่ใช่การทำธุรกิจปกติ อาจจะเป็นธุรกิจหลอกลวง หรือแชร์ลูกโซ่ก็เป็นได้ ก็อยากขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังให้ดี หรือหากมีข้อสงสัยอะไรก็ให้ตรวจสอบกับกรมฯ ได้”
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเรื่องทุนจดทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 58 กรมฯ จะเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนนิติบุคคล ตามนโยบายของพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ซึ่งจะไม่เน้นในแง่ปริมาณของกิจการที่เข้ามาจด แต่จะเน้นคุณภาพ โดยจะเริ่มใช้เกณฑ์การจดทะเบียนใหม่ หรือกำหนดให้ธุรกิจที่มีทุนจดเบียนเกิน 5 ล้านบาท จะต้องแสดงหลักฐานเงินลงทุนเข้าบริษัทภายใน 15 วัน เพื่อป้องกันการจดทะเบียนทุนไว้สูงๆ แต่ไม่มีเงินจริง
“เชื่อว่าการกำหนดเกณฑ์ดังกล่าว จะไม่กระทบกับธุรกิจส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก เพราะสัดส่วนธุรกิจตั้งใหม่ที่มีเงินทุนเกิน 5 ล้านบาท มีเพียงแค่ 4-5%เท่านั้น ที่เหลือ 95%เป็นธุรกิจที่มีเงินทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท”
สำหรับสถิติการจดทะเบียนธุรกิจเดือนพ.ย. 57 มีผู้ประกอบการยื่นจดตั้งใหม่ 4,422 ราย ลดลง 962 ราย หรือลดลง 18%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 25 รายหรือเพิ่มขึ้น 1%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย. 56 โดยมีทุนจดทะเบียน 35,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 41%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 โดยสาเหตุที่จดตั้งใหม่ลดลง เพราะช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ของทุกปี จะมีการจดทะเบียนตั้งใหม่ลดลง เนื่องจากบางรายไม่อยากส่งงบการเงิน หลังตั้งได้เพียงแค่ 1 หรือ 2 เดือน เลยเลื่อนไปจดตั้งใหม่ในช่วงต้นปีใหม่แทน
ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการทั่วประเทศในเดือนพ.ย. 57 มี 2,081 ราย เพิ่มขึ้น 17%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 และเพิ่มขึ้น 27%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค. 57 โดยมีทุนจดทะเบียนเลิกมูลค่า 9,184 ล้านบาท ลดลง 22%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 และลดลง 14%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค. 57 โดยสาเหตุที่มีการจดเลิกมาก เพราะเดือนพ.ย.มีการจดเลิกธุรกิจค้าสลากมากถึง 500 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ทำธุรกิจ และไม่อยากส่งงบการเงิน จึงรีบจดเลิก ประกอบกับมีการเข้มงวดในการจดตั้งใหม่ จึงมีการจดตั้งใหม่ลดลง
ขณะที่สถิติการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 57 (ม.ค.-พ.ย.) มี 56,100 ราย ลดลง 13%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการช่วง 11 เดือน มี13,900ราย เพิ่มขึ้น 18%เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกรมฯ คาดว่าทั้งปี 57 จะมียอดจดทะเบียนตั้งใหม่ 60,000 – 62,000 ราย ส่วนปี 58 คาดว่ายอดจดตั้งใหม่จะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 60,000 ราย โดยมีปัจจัยบวก คือ การเมืองมีเสถียรภาพ การกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์และการท่องเที่ยว และราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจ ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 16 ธันวาคม 2557
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า แฉ 40 บริษัททุนจดทะเบียนสูงเวอร์ แต่ไม่ประกอบธุรกิจ สั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด่วน หวั่นเป็นแชร์ลูกโซ่หลอกชาวบ้าน
น.ส.ผ่องพรรณเจียรวิริยะพันธ์อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ กำลังเร่งตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนกับกรมฯ และมีทุนจดทะเบียนสูงผิดปกติ แต่ไม่มีการประกอบธุรกิจ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีอยู่ 30-40 บริษัทที่เข้าข่าย โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบบริษัท และเรียกตรวจสอบบัญชี รวมทั้งจะประสานให้กรมสรรพากรเข้าไปตรวจสอบด้วย เพราะเกรงว่าจะเป็นการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดำเนินการที่ไม่ปกติ หรือตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน
“บริษัทเหล่านี้ ไม่ส่งงบการเงิน หรือบางแห่งมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน แต่ตอนจดทะเบียน ได้จดทะเบียนทุนจัดตั้งไว้สูงมาก ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยกรมฯ เป็นห่วงว่า พวกที่ตั้งธุรกิจโดยอ้างว่ามีทุนจดทะเบียนสูงๆ แบบนี้ คงไม่ใช่การทำธุรกิจปกติ อาจจะเป็นธุรกิจหลอกลวง หรือแชร์ลูกโซ่ก็เป็นได้ ก็อยากขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังให้ดี หรือหากมีข้อสงสัยอะไรก็ให้ตรวจสอบกับกรมฯ ได้”
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเรื่องทุนจดทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 58 กรมฯ จะเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนนิติบุคคล ตามนโยบายของพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ซึ่งจะไม่เน้นในแง่ปริมาณของกิจการที่เข้ามาจด แต่จะเน้นคุณภาพ โดยจะเริ่มใช้เกณฑ์การจดทะเบียนใหม่ หรือกำหนดให้ธุรกิจที่มีทุนจดเบียนเกิน 5 ล้านบาท จะต้องแสดงหลักฐานเงินลงทุนเข้าบริษัทภายใน 15 วัน เพื่อป้องกันการจดทะเบียนทุนไว้สูงๆ แต่ไม่มีเงินจริง
“เชื่อว่าการกำหนดเกณฑ์ดังกล่าว จะไม่กระทบกับธุรกิจส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก เพราะสัดส่วนธุรกิจตั้งใหม่ที่มีเงินทุนเกิน 5 ล้านบาท มีเพียงแค่ 4-5%เท่านั้น ที่เหลือ 95%เป็นธุรกิจที่มีเงินทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท”
สำหรับสถิติการจดทะเบียนธุรกิจเดือนพ.ย. 57 มีผู้ประกอบการยื่นจดตั้งใหม่ 4,422 ราย ลดลง 962 ราย หรือลดลง 18%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 25 รายหรือเพิ่มขึ้น 1%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย. 56 โดยมีทุนจดทะเบียน 35,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 41%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 โดยสาเหตุที่จดตั้งใหม่ลดลง เพราะช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ของทุกปี จะมีการจดทะเบียนตั้งใหม่ลดลง เนื่องจากบางรายไม่อยากส่งงบการเงิน หลังตั้งได้เพียงแค่ 1 หรือ 2 เดือน เลยเลื่อนไปจดตั้งใหม่ในช่วงต้นปีใหม่แทน
ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการทั่วประเทศในเดือนพ.ย. 57 มี 2,081 ราย เพิ่มขึ้น 17%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 และเพิ่มขึ้น 27%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค. 57 โดยมีทุนจดทะเบียนเลิกมูลค่า 9,184 ล้านบาท ลดลง 22%เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.56 และลดลง 14%เมื่อเทียบกับเดือนต.ค. 57 โดยสาเหตุที่มีการจดเลิกมาก เพราะเดือนพ.ย.มีการจดเลิกธุรกิจค้าสลากมากถึง 500 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ทำธุรกิจ และไม่อยากส่งงบการเงิน จึงรีบจดเลิก ประกอบกับมีการเข้มงวดในการจดตั้งใหม่ จึงมีการจดตั้งใหม่ลดลง
ขณะที่สถิติการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 57 (ม.ค.-พ.ย.) มี 56,100 ราย ลดลง 13%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการช่วง 11 เดือน มี13,900ราย เพิ่มขึ้น 18%เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกรมฯ คาดว่าทั้งปี 57 จะมียอดจดทะเบียนตั้งใหม่ 60,000 – 62,000 ราย ส่วนปี 58 คาดว่ายอดจดตั้งใหม่จะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 60,000 ราย โดยมีปัจจัยบวก คือ การเมืองมีเสถียรภาพ การกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์และการท่องเที่ยว และราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจ ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 16 ธันวาคม 2557