อีก2เดือนใช้เครื่องออกใบสั่งตำรวจคีย์ข้อมูลข้อหา“ออนไลน์”

[brid.ladawan]

อีก2เดือนใช้เครื่องออกใบสั่งตำรวจคีย์ข้อมูลข้อหา“ออนไลน์”ทันที ทำผิดซ้ำ-ก่ออาญชากรรมหมดสิทธิรอด เร่งกทม.ให้จัดซื้อโอดรอนานกว่า 4 ปี


พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น.)ดูแลงานจราจรกล่าวว่าขณะนี้ทางบช.น.ได้เจรจากับกรุงเทพมหานคร(กทม.)เพื่อจัดซื้อเครื่องออกใบสั่งอิเล็กทรอนิคส์หรืออีทิคเก็ตสำหรับงานจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น190ล้านบาทเพื่อจัดซื้ออีทิคเก็ตจำนวน1,300เครื่องซึ่งตนได้มอบหมายให้กองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.)เป็นผู้จัดทำโครงการดังกล่าวเพื่อเสนอต่อกทม.ให้ดำเนินการจัดซื้อต่อไปอย่างไรก็ตามสำหรับรูปแบบการจัดซื้อนั้นได้มีการเสนอมา2รูปแบบคือรูปแบบการเช่าจากเอกชนและแบบซื้อขาดแต่ตนเห็นว่ารูปแบบการเช่าจากเอกชนจะมีความคุ้มค่ามากกว่าเพราะหากเครื่องชำรุดเสียหายก็สามารถส่งซ่อมที่เอกชนได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมเองแต่ในการตัดสินใจก็จะต้องขึ้นอยู่กับกทม.ที่เป็นผู้จัดหาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้คาดว่าอีกประมาณ2เดือนจะสามารถจัดซื้อเครื่องออกใบสั่งอิเล็กทรอนิคส์ได้และประมาณเดือนมี.ค.2558เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครจะเปลี่ยนวิธีการออกใบสั่งแบบกระดาษมาใช้เครื่องอีทริคเก็ตซึ่งการใช้เครื่องอิทิคเก็ตออกใบสั่งนั้นจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฎหมายและเรียกเก็บค่าปรับได้เต็มประสิทธิภาพกว่าที่ผ่านมาเพราะระบบของอิทริคเก็ตจะเชื่อมโยงกับระบบโปลิสและระบบของกรมการขนส่งทางบกซึ่งหากประชาชนไม่ยอมจ่ายค่าเปรียบเทียบปรับภายใน 7วันก็จะถูกอายัติการต่อทะเบียนจากกรมการขนส่งทันทีรวมทั้งตรวจสอบประวัติการทำผิดกฎจราจรใบสั่งค้างและการทำผิดกฎหมายอื่นๆตามทะเบียนประวัติอาชญากรรมโดยในส่วนของการขออาญัติทะเบียนรถในส่วนที่มีการค้างใบสั่งนั้นตนจะมีการหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางบกอีกครั้งทั้งนี้การจัดซื้อเครื่องอิทิคเก็ตนั้นบช.น.ได้ดำเนินการทำเรื่องขอไปยังกรุงเทพมหานครตั้งแต่ปีพ.ศ.2554แต่ขณะนั้นเกิดปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมกทม.จึงต้องตัดงบประมาณเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมไปก่อนจึงส่งผลให้โครงการชะงักไปนานกว่า4 ปีแต่ขณะนี้กทม.มีความพร้อมและจัดสรรงบประมาณให้เรียบร้อยแล้วบช.น.จึงจำเป็นต้องประสานงานต่อให้เสร็จเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร.


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 14 มกราคม 2558