Page 1 of 1

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ 58 โกย 3.5 หมื่นล้านบาท

Posted: 20 Jan 2015, 14:46
by brid.ladawan
?แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ 58 โกย 3.5 หมื่นล้านบาท?
เล็งผุดโครงการใหม่19 โครงการ รวมมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท รุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ดึงดิจิตอล มาร์เก็ตติ้งมาใช้ลดต้นทุน หลังมั่นใจทิศทางเศรษฐกิจฟื้นตัวดี


นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่ ๆ 17-19 โครงการ รวมมูลค่า 32,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในกทม. ต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้ไปลงทุน อาทิ พิษณุโลก และลูกค้าต่างชาติ โดยจะพัฒนาคอนโดมิเนียม 9-10 โครงการ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ 7-9 โครงการ คาดว่าทั้งปีนี้จะมียอดขายรวม 30,000–32,000 ล้านบาท และมีรายได้ 35,000 ล้านบาท

“ช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรก ที่ได้ร่วมมือกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส มูลค่า 5,000 ล้านบาท หลังจากได้จัดตั้ง บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกัน รวมทั้งจะเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัด พิษณุโลก ซึ่งนับเป็นการขยายสู่ทำเลภาคเหนือตอนล่าง เพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมอีกด้วย ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าตามแผนธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลอย่างรวดเร็ว จากอัตรากำไรในปีที่ผ่านมาที่ เพิ่มสูงใกล้เคียงเป้าหมาย 12%”

นอกจากนี้จะนำกลยุทธ์รุกตลาดแบบดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง หรือใช้โซเชี่ยล มีเดีย ให้มากขึ้น ซึ่งเข้าถึง และดูแลกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ลดต้นทุนด้วย ขณะเดียวกันจะเน้นบริการหลังการขายผ่านบริษัทลูก คือบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่า และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัย เชื่อว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสร้างอัตรากำไรสุทธิได้ถึง 15%

สำหรับทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 58 นี้ มองว่ามีทิศทางที่ดีมาก จากปัจจัยหนุนที่สำคัญ อาทิ แน้วโน้มเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นกว่าปี 57 โดยจีดีพีน่าจะโตได้ 3.5–4.5% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นใจภาคเอกชนฟื้นตัวตามได้ ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงนั้น มีผลทำให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อสูงขึ้น ด้านผู้ประกอบการก็มีต้นทุนที่ลดลงเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบอยู่บ้างคือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชน


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 20 มกราคม 2558