'เอเซอร์'เผยกลยุทธ์ลุยตลาดไอทีไทยหวังโตเลขสองหลัก

[brid.ladawan]

'เอเซอร์'เผยกลยุทธ์ลุยตลาดไอทีไทยหวังโตเลขสองหลัก

?'เอเซอร์'เผยกลยุทธ์ลุยตลาดไอทีไทยหวังโตเลขสองหลัก??'เอเซอร์'เผยกลยุทธ์ลุยตลาดไอทีไทยหวังโตเลขสองหลัก?
"เอเซอร์"เผยแผนธุรกิจปี 15 นำผลิตภัณฑ์หลากหลายสู่ลูกค้า ทั้งโน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ ตั้งเป้าหมายเติบโตเป็นเลข 2 หลัก


วันนี้( 4 ก.พ.) ที่เซ็นทรัลเวิลด์ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด จัดแถลงข่าวทิศทางธุรกิจปี 2015 โดยนายอลัน เจียง ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ของไทยในช่วงปีที่ผ่านมาไม่มีอัตราการเติบโตเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากความนิยมในอุปกรณ์พกพาแบบต่างๆ อย่างไรก็ตามเอเซอร์ยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดได้ โดยเมื่อสิ้นไตรมาส 4 ของปี 2014 ที่ผ่านมา เอเซอร์มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 28% และในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมามีส่วนแบ่งการตลาดคอนซูเมอร์โน๊ตบุ๊ค 38 %

"ในปี 2015 คาดว่าตลาดไอทีของไทยจะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10% โดยเอเซอร์จะบุกตลาดไอทีด้วยแนวคิด Synergized Power of Digital ด้วยการผสานศักยภาพในด้านภูมิศาสตร์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี โดยจะนำผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มคอนซูเมอร์ และคอมเมอร์เซียล อาทิ เดสก์ท๊อปตัวเล็ก เอเวอร์ รีโว วัน และพรีเมียมอัตราบุ๊ค เอเซอร์ แอสปาย เอส7 แท็บเล็ต เอเซอร์ ลิวิป ทอร์ค เอส ที่สามารถโทรออกได้ ซึ่งจะเริ่มทยอยวางตลาดตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายช่วยให้บริษัทมีอัตราการเติบโตเป็นเลข 2 หลัก โดยสัดส่วนรายได้ 25% จะมาจากลูกค้าองค์กร และตั้งเป้าหมายจะปรับเพิ่มเป็น 50 % ในอีก 3 ปี ข้างหน้า"

ด้านนายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาด จะเน้นทั้งในกลุ่มผู้บริโภคค้าปลีก และกลุ่มตลาดลูกค้าองค์กร ภาครัฐ และโครงการต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำมาทำตลาด อาทิ โครมบุ๊ค โครมบ็อกซ์ อุปกรณ์สวมใส่ สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์วิดีโอ คอนฟอร์เรนซ์ ฯลฯ

" ตลาดคอมพิวเตอร์พีซีในปีที่ผ่านมาลดลง 17% แต่ของเอเซอร์ปรับลดลงเพียง 7 % น้อยกว่าตลาด ขณะที่สมาร์ทโฟนของบริษัท สามารถเติบโตได้ถึง 133% เป็นผลมาจาการทำตลาดร่วมกับผู้ให้บริการอย่างดีแทค และเอไอเอส ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 5 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่พอใจ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาทำตลาดเพียงไม่กี่ปี ซึ่งในปีนี้จะเน้นขยายตลาดในร้านค้าปลีกมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับบริการหลังการค้ามากขึ้น "


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558