จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก

[brid.ladawan]

จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก


?จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก??จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก??จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก?
จุฬาสกัดเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยสู้ของนอก ชี้เหมาะกับผิวหน้าคนไทยมากกว่า ด้านภาคอุตสาหกรรมตอบรับ ยืนยันประสิทธิภาพดีกว่านำเข้า 30 เท่าพร้อมหนุนทำเครื่องสำอางค์ขายทั่วโลก


วันนี้(11 กพ.58) ที่อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แถลงข่าวเปิดตัว “ หอยทากแห่งสยามและเมือกจากแมนเทิลขุมทรัพย์อมตะแห่งความงามจากธรรมชาติ ” โชว์ความหลากหลายของสายพันธุ์หอยทากและศักยภาพการใช้เมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยในอุตสาหกรรมความงามสู่ตลาดโลก ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกในประเทศไทย โดยศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหาอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทำวิจัยเรื่องหอยมากว่า 30 ปี โดยประเทศไทยมีความหลากหลายของสปีชีส์หอยทากบกสูงมาก ซึ่งปัจจุบันมีการค้นพบและตีพิมพ์แล้วกว่า 600 ชนิดและคาดว่าน่าจะมีมาถึง1,000-1,500ชนิด

ทั้งนี้เมือกหอยทากมีการนำมาใช้ประโยชน์ด้านความงามอย่างแพร่หลาย ซึ่งประเทศไทยก็มีการนำเข้าเมือกหอยทากจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทีมวิจัยจึงร่วมกับภาควิชาชีวเคมี จุฬา ฯ วิเคราะห์เมือกหอยทากสายพันธุ์ไทย โดยทำตั้งแต่คัดเลือกสายพันธุ์เพาะเลี้ยงควบคุมการสกัดเมือกและวิเคราะห์สารสำคัญ ซึ่งพบว่าเมือกที่มาจากแมนเทิลของหอยนวล (Hemiplecta distinct) ที่เป็นหอยทากบกที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย จะมีสารสำคัญที่มีประโยชน์เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรคที่อยู่ในเขตร้อน ซึ่งเหมาะสำหรับผิวพรรณของคนไทยมากกว่าการใช้เมือกหอยทากจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เขตหนาว

อย่างไรก็ดีจากความร่วมมือดังกล่าวทำให้ทีมวิจัยสามารถผลิตเมือกหอยทากสายพันธุ์ไทยได้เป็นครั้งแรก ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพให้มีสารออกฤทธิ์สูง พร้อมที่จะต่อยอดให้ภาคอุตสาหกรรมนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางค์จำหน่ายไปทั่วโลกทดแทนการนำเข้าเมือกหอยทากจากต่างประเทศโดยนายนาคาญ ทวิชาวัฒน์รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม และเลขาธิการคลัสเตอร์สุขภาพและความงามสภาอุตสาหกรรม กล่าวว่า พร้อมสนับสนุนผลงานวิจัยดังกล่าว ซึ่งจากการเปรียบเทียบคุณภาพเมือกหอยทากที่ได้กับของต่างประเทศที่ราคาเท่ากันพบว่าจะมีประสิทธิภาพของสารสำคัญสูงกว่าถึง30 เท่า

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 11 ก.พ 2558