Page 1 of 1

“ก.ล.ต.” กล่าวโทษบอร์ด-ผู้บริหาร “TUCC” กับพวก ปมทำบัญชีเท็จ

Posted: 16 Feb 2015, 17:26
by brid.ladawan
“ก.ล.ต.” กล่าวโทษบอร์ด-ผู้บริหาร “TUCC” กับพวก ปมทำบัญชีเท็จ-เบียดบังทรัพย์

“ก.ล.ต.” กล่าวโทษบอร์ด-ผู้บริหาร “TUCC” กับพวก ปมทำบัญชีเท็จ-เบียดบังทรัพย์ โดยการตรวจสอบยังพบว่า เงินที่ได้เบิกจากธนาคารไปแล้วบางส่วนได้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหารบริษัท ไทยยูนีค คอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUCC กับพวกรวม 9 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีร่วมกัน หรือเป็นผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดของกรรมการ และผู้บริหารของ TUCC ในการบันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าไม่ตรงต่อความเป็นจริง และกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังทรัพย์สินของบริษัทเป็นของตนเอง หรือบุคคลอื่น และแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทในช่วงปี 2553-2554

สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวโทษในครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) นายยงยุทธ งามไกวัล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (2) นางวัชรีย์ งามไกวัล กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (3) นางสุจิตต์ รุ่งเจริญชัย อดีตกรรมการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (4) น.ส.นิตยา ยงค์พิทักษ์วัฒนา กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป (5) น.ส.สุทธิรัตน์ เสวี กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี (6) บริษัท บี เอฟ อินเตอร์เทรด จำกัด (“บี เอฟ") (7) บริษัท เค.เอส.ซี. สแตนเลส โปรดักส์ จำกัด (“เค.เอส.ซี.") (8) น.ส.เจริญรัตน์ ชื่นวิรัชสกุล กรรมการของ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. และ (9) บริษัท ไทยนิชเช่ จำกัด (“ไทยนิชเช่")

คดีนี้สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชี 2 ราย มีข้อสังเกตในงบการเงินงวดไตรมาส 2 ปี 2554 และงวดปี 2554 และได้แจ้งข้อมูลอันควรสงสัยดังกล่าวต่อคณะกรรมการตรวจสอบของ TUCC ตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบทั้ง 2 ครั้ง ว่า ไม่พบความผิด โดยพบว่า บริษัทมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายใน แต่ไม่พบประเด็นทุจริต

อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติม และพบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ น.ส.นิตยา และ น.ส.สุทธิรัตน์ ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงาน และได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของบริษัท ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และระมัดระวังเพื่อดูแลรักษาประโยชน์ของบริษัท และผู้ถือหุ้นโดยรวม

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตรวจพบ บุคคลดังกล่าวร่วมกันดำเนินการให้บริษัท 2 แห่ง คือ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ซึ่งเกี่ยวข้องกัน และมี น.ส.เจริญรัตน์ เป็นกรรมการบริษัท ออกเช็คล่วงหน้าให้ TUCC และไทยนิชเช่ (บริษัทย่อยของ TUCC) โดยลวงว่า TUCC และไทยนิชเช่ ได้ขายสินค้าเหล็กดำให้แก่บริษัททั้ง 2 แห่งดังกล่าว แล้วดำเนินการให้ TUCC และไทยนิชเช่นำเช็คดังกล่าวไปขายลดต่อสถาบันการเงิน อ้างว่าเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในกิจการ และเมื่อเช็คที่นำไปขายลดนั้นจะครบกำหนดเรียกเก็บเงิน จึงได้สร้างรายการทางบัญชีที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงว่าสั่งซื้อเหล็กดำจากบริษัทผู้ค้าเหล็กดำ 8 ราย รวมมูลค่ากว่า 520 ล้านบาท เพื่อให้มีการสั่งจ่ายเงินจากบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าจะนำไปชำระหนี้ตามเช็คของบี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ที่นำไปขายลดไว้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่า เงินที่ได้เบิกจากธนาคารไปแล้วบางส่วนได้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหาร

การกระทำของ นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ น.ส.นิตยา และ น.ส.สุทธิรัตน์ ที่ร่วมกันดำเนินการให้ TUCC บันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อเหล็กดำจากบริษัท 8 แห่ง และการขายเหล็กดำให้แก่ไทยนิชเช่ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดย บี เอฟ เค.เอส.ซี. น.ส.เจริญรัตน์ และไทยนิชเช่ ให้การช่วยเหลือสนับสนุน นอกจากนี้ การกระทำของกรรมการแ ละผู้บริหาร TUCC ทั้ง 5 รายข้างต้น ยังเข้าข่ายเป็นการทุจริตยักยอกเงินของ TUCC ไปเพื่อตนเองและผู้อื่น ฝ่าฝืนมาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 และมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ด้วย

การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ น.ส.นิตยา และ น.ส.สุทธิรัตน์ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการ และผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี และต้องพ้นจากตำแหน่งโดยผลของมาตรา 89/4 และมาตรา 89/6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ นับแต่วันที่ถูกกล่าวโทษ

โดยในคดีอาญา นายยงยุทธ กับพวกมีสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมในการชี้แจง และแสดงหลักฐานต่อพนักงานผู้มีอำนาจในลำดับต่อไป อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นอำนาจ และดุลพินิจของศาลยุติธรรม

สำหรับกรรมการตรวจสอบ 3 ราย ที่ได้รับแจ้งจากผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับเหตุสงสัยในเรื่องน่าเชื่อถือของงบการเงินของ TUCC จำนวน 2 ฉบับ และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อ ก.ล.ต. ดังกล่าวข้างต้น ต่อมา กรรมการตรวจสอบชี้แจงต่อ ก.ล.ต. ระบุว่า รายงานดังกล่าวสรุปผลจากการสอบถามข้อมูลจากฝ่ายบัญชีของบริษัทที่ปฏิบัติงานในเรื่องอันเป็นเหตุสงสัยนั้นเอง โดยไม่ได้สอบทานเอกสารหลักฐาน หรือเข้าตรวจสอบด้วยวิธีการอื่นใดเพิ่มเติม ทั้งที่คณะกรรมการตรวจสอบมีบทบาทสำคัญประการหนึ่งในการสอบทานรายการทางการเงิน ระบบการควบคุมภายใน และการทำรายการที่ผิดปกติของบริษัท หากพบกรณีในลักษณะดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบควรเร่งหารือต่อผู้สอบบัญชี ก่อนที่จะดำเนินการสอบทานในเชิงลึกต่อไป

อย่างไรก็ดี เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบละเลยการทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้บริหารของ TUCC ในการกระทำผิด ก.ล.ต. จึงมีหนังสือกำชับกรรมการตรวจสอบทุกราย ให้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ กรรมการตรวจสอบทั้ง 3 ราย ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของ TUCC ไปก่อนหน้านี้แล้ว


ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 16 ก.พ 2558