"การเมือง ภาษี กฎระเบียบที่เข้มงวด" 3 ปัจจัยเสี่ยง กระทบเศรษ
Posted: 19 Feb 2015, 10:26
"การเมือง ภาษี กฎระเบียบที่เข้มงวด" 3 ปัจจัยเสี่ยง กระทบเศรษฐกิจ
ซีอีโออาเซียน เชื่อเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวใน 12 เดือน หวั่นการเมือง ภาระภาษี กฎระเบียบที่เข้มงวด กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ เผยอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ คือปัญหาการติดสินบน คอรัปชั่น ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
PwC ประเทศไทย (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) เผยผลสำรวจ 18th Annual Global CEO Survey: A marketplace without boundaries? Responding to disruptionที่ใช้ในการประชุมสมัชชาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประจำปี 2558 ซึ่งผลสำรวจได้จัดทำขึ้นระหว่างเดือนกันยายน ถึง ธันวาคม 2557 โดยได้สำรวจความคิดเห็น ของซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,322 รายใน 77 ประเทศ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 76 รายใน 7 ประเทศ
ผลจากการสำรวจที่น่าสนใจ ได้แก่ ผู้นำธุรกิจอาเซียนถึง 49% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global economy) จะดีขึ้นในช่วง 12 เดือนหน้า เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 45% และสูงกว่าความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกโดยเฉลี่ยที่ 37% สาเหตุเพราะซีอีโอในภูมิภาคนี้มองว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคตัวเอง และเศรษฐกิจในประเทศหลักจะฟื้นตัว กอปรกับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การขยายตัวของสังคมเมือง และกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค
3 ปัจจัยเสี่ยงที่ซีอีโออาซียนมองว่า จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบาย (Economic and policy threats) มากที่สุด ได้แก่ ความวุ่นวายทางการเมือง (Geopolitical uncertainty) การจัดเก็บและผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น (Increasing tax burden) และการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป (Over-regulation)
ซีอีโออาเซียนถึง 47% เชื่อว่าในปี 2558 รายได้ของบริษัท (Revenue growth) จะเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา และเกินกว่าครึ่ง (54%) ยังเชื่อมั่นว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีก 3 ปีต่อจากนี้ สูงกว่าซีอีโอโลกที่เชื่อมั่นเพียง 39% และ 49% ตามลำดับ โดยตลาดสำคัญ 3 อันดับแรกที่ซีอีโออาเซียนมองว่าจะช่วยผลักดันให้รายได้ของพวกเขาเติบโต ได้แก่ จีน สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย
อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ (Business threats) ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ปัญหาการติดสินบนและคอร์รัปชั่น (79%) และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (78%) ยังเป็นคงประเด็นที่บรรดาซีอีโอแสดงความกังวลมากที่สุดในปีนี้
ซีอีโออาเซียนเกือบ 60% มองว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าองค์กรของตนจะขยายหรือต่อยอดธุรกิจหลักไปในธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงให้แก่บริษัท โดยการหาพันธมิตร ธุรกิจร่วมทุน (Joint ventures) และความร่วมมือกันทางการค้าในรูปแบบอื่นๆ จะยังเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอภูมิภาคนี้ รองจากแผนการลดต้นทุน
ซีอีโออาเซียนกว่าครึ่งระบุว่า ได้มีการนำกลยุทธ์การบริหารความหลากหลายของบุคลากร (Diversity and Inclusiveness) มาเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กรแล้ว และมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่า หากนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ก็จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นในที่สุด
ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยไทยติดอันดับ 4 ของตลาดที่น่าลงทุนนอกเหนือไปจากกลุ่มประเทศ BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ในปีนี้ ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีก่อน ซึ่งมีเวียดนามขึ้นมาแทนที่ ขณะที่อันดับ 1 ยังเป็นอินโดนีเซีย รองลงมา ได้แก่ เม็กซิโก โคลัมเบีย
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 18 ก.พ 2558
ซีอีโออาเซียน เชื่อเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวใน 12 เดือน หวั่นการเมือง ภาระภาษี กฎระเบียบที่เข้มงวด กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ เผยอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ คือปัญหาการติดสินบน คอรัปชั่น ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
PwC ประเทศไทย (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) เผยผลสำรวจ 18th Annual Global CEO Survey: A marketplace without boundaries? Responding to disruptionที่ใช้ในการประชุมสมัชชาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประจำปี 2558 ซึ่งผลสำรวจได้จัดทำขึ้นระหว่างเดือนกันยายน ถึง ธันวาคม 2557 โดยได้สำรวจความคิดเห็น ของซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,322 รายใน 77 ประเทศ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 76 รายใน 7 ประเทศ
ผลจากการสำรวจที่น่าสนใจ ได้แก่ ผู้นำธุรกิจอาเซียนถึง 49% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก (Global economy) จะดีขึ้นในช่วง 12 เดือนหน้า เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 45% และสูงกว่าความเชื่อมั่นของซีอีโอโลกโดยเฉลี่ยที่ 37% สาเหตุเพราะซีอีโอในภูมิภาคนี้มองว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคตัวเอง และเศรษฐกิจในประเทศหลักจะฟื้นตัว กอปรกับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การขยายตัวของสังคมเมือง และกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค
3 ปัจจัยเสี่ยงที่ซีอีโออาซียนมองว่า จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบาย (Economic and policy threats) มากที่สุด ได้แก่ ความวุ่นวายทางการเมือง (Geopolitical uncertainty) การจัดเก็บและผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น (Increasing tax burden) และการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป (Over-regulation)
ซีอีโออาเซียนถึง 47% เชื่อว่าในปี 2558 รายได้ของบริษัท (Revenue growth) จะเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา และเกินกว่าครึ่ง (54%) ยังเชื่อมั่นว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีก 3 ปีต่อจากนี้ สูงกว่าซีอีโอโลกที่เชื่อมั่นเพียง 39% และ 49% ตามลำดับ โดยตลาดสำคัญ 3 อันดับแรกที่ซีอีโออาเซียนมองว่าจะช่วยผลักดันให้รายได้ของพวกเขาเติบโต ได้แก่ จีน สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย
อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ (Business threats) ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ปัญหาการติดสินบนและคอร์รัปชั่น (79%) และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (78%) ยังเป็นคงประเด็นที่บรรดาซีอีโอแสดงความกังวลมากที่สุดในปีนี้
ซีอีโออาเซียนเกือบ 60% มองว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าองค์กรของตนจะขยายหรือต่อยอดธุรกิจหลักไปในธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงให้แก่บริษัท โดยการหาพันธมิตร ธุรกิจร่วมทุน (Joint ventures) และความร่วมมือกันทางการค้าในรูปแบบอื่นๆ จะยังเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอภูมิภาคนี้ รองจากแผนการลดต้นทุน
ซีอีโออาเซียนกว่าครึ่งระบุว่า ได้มีการนำกลยุทธ์การบริหารความหลากหลายของบุคลากร (Diversity and Inclusiveness) มาเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กรแล้ว และมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่า หากนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ก็จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นในที่สุด
ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยไทยติดอันดับ 4 ของตลาดที่น่าลงทุนนอกเหนือไปจากกลุ่มประเทศ BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ในปีนี้ ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีก่อน ซึ่งมีเวียดนามขึ้นมาแทนที่ ขณะที่อันดับ 1 ยังเป็นอินโดนีเซีย รองลงมา ได้แก่ เม็กซิโก โคลัมเบีย
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 18 ก.พ 2558