?2 นักวิจัยด้านการแพทจุฬา-มช. คว้าทุนวิจัยแกนนำประจำปี

[brid.ladawan]

2 นักวิจัยด้านการแพทจุฬา-มช. คว้าทุนวิจัยแกนนำประจำปี2557

2 นักวิจัยด้านการแพทย์จากจุฬา-มช. คว้าทุนวิจัยแกนนำคนละ 20 ล้านบาทจากสวทช. เน้นวิจัยองค์ความรู้ใหม่รองรับการเกิดโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส และศึกษาโรคอ้วนลงพุงแบบองค์รวม ซึ่งมีผลต่อการเป็นโรคหัวใจและอัลไซเมอร์

วันนี้ (19 ก.พ. ) โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการมอบทุนวิจัยแกนนำประจำปี 2557 แก่ 2 นักวิจัยไทยด้านการแพทย์ ในโครงการ “นาสด้า แชร์ โปรเฟสเซอร์” ( NSTDA Chair Professor) ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช.ได้มอบทุนวิจัยแกนนำ เพื่อสนับสนุนนักวิจัยที่มีความสามารถสูง เป็นผู้นำด้านการวิจัยในการพัฒนาและผลิตผลงานที่มีศักยภาพต่อการเชื่อมโยงไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง ทั้งในภาคการผลิตและบริการ และภาคสังคม โดยเริ่มให้ทุนตั้งแต่ปี 2552 สนับสนุนนักวิจัยไปแล้ว 11 โครงการ

และในปีนี้คณะกรรมการมีมติเห็นควรมอบทุนวิจัยโครงการละ 20 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 5 ปี แก่นักวิจัยแกนนำของประเทศ จำนวน 2 ท่าน คือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภายใต้หัวข้อเรื่อง “โรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำและโรคทางไวรัสที่สำคัญในประเทศไทย” ซึ่งโครงการนี้จะเน้นการวิจัยสร้างองค์ความรู้ใหม่มีการพัฒนาบุคลากร เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และโรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัสรวมถึงต่อยอดองค์ความรู้พัฒนาเป็นชุดตรวจวินิจฉัยโรคและวางแนวทางในการรักษาและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

และ ศ.ดร.นพ.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากโครงการวิจัยเรื่อง “การศึกษาตั้งแต่ระดับเซลล์ถึงผู้ป่วยเพื่อค้นหาแนวทางการรักษาและตัวชี้วัดชนิดใหม่ในภาวะเมตาบอลิคซินโดรมและภาวะเหล็กเกินเพื่อการป้องกันการสูญเสียการทำงานของหัวใจและสมอง” ซึ่งเป็นการศึกษาภาวะเมตาบอลิคซินโดรมหรือโรคอ้วนลงพุง แบบองค์รวมตั้งแต่ระดับเซลล์ถึงผู้ป่วย โดยภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการเต้นของหัวใจและการเสื่อมของสมองซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์ต่อไป ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับหัวใจและสมองในกลุ่มโรคนี้จะทำให้สามารถรับมือกับการคุกคามของปัญหาทางสุขภาพที่กำลังทวีความรุนแรงกลุ่มนี้ได้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์และผู้ป่วยทั่วโลก


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 19 ก.พ 2558