เปิดทางลูกจ้างส่งเงินกองทุนเลี้ยงชีพฯ

[brid.ladawan]

เปิดทางลูกจ้างส่งเงินกองทุนเลี้ยงชีพฯ

ครม.ไฟเขียว เปิดทางให้ลูกจ้างสมทบเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ตามต้องการ หนุนให้ลูกจ้างออมเงินมากขึ้น โดยนายจ้างไม่ต้องจ่ายสมทบเพิ่ม

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบให้แก้กฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและขจัดปัญหาอุปสรรคให้กับลูกจ้าง ที่สำคัญยังทำให้ลูกจ้างสามารถออมเงินได้ตามต้องการ เพื่อเก็บไว้ใช้ยามชราภาพ โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้พนักงาน ลูกจ้าง สามารถสมทบเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้มากกว่านายจ้าง โดยที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น

นอก จากนี้ยังแก้ไขกฎหมายให้อำนาจรมว.คลังมีอำนาจออกประกาศให้ลูกจ้างหรือนาย จ้างหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบเข้ากองทุนฯเป็นการชั่วคราว ได้ ในกรณีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ขาดจากการเป็นสมาชิก และเมื่อผ่านพ้นวิกฤติแล้วสมาชิกสามารถ นำส่งเงินได้เช่นเดิม ขณะเดียวกันพนักงาน ลูกจ้างที่มีอายุ 55 ปี แล้วสิ้นสมาชิกภาพหรือลาออกไปก่อนเกษียณอายุงาน สามารถขอรับเงินเป็นงวด ๆ โดยไม่ต้องนำเงินออจากกองทุนทั้งจำนวนซึ่งจะช่วยให้ลูกจ้างมีเงินดำรงชีพได้อย่างต่อเนื่อง

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญยังแก้ไขให้สามารถโอนเงินกองทุนฯไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือกองทุนเพื่อการชราภาพอื่นได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ลูกจ้างสามารถออมเงินเพื่อการชราภาพได้อย่างต่อเนื่องด้วย แม้ ว่าจะมีการยกเลิกกองทุนที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกอยู่หรือการถูกให้ออกจากงานและ ไม่สามารถหางานใหม่ได้ และยังอนุญาตให้ผู้จัดการกองทุนฯ นำเงินสะสมและเงินสมทบไปลงทุน หรือหาผลประโยชน์สำหรับลูกจ้างที่ไม่ได้แสดง เจตนาเลือกนโยบายการลงทุนไว้ จากเดิมที่การลงทุนหาผลประโยชน์ของกองทุนฯจะให้ผู้จัดการกองทุนนำเงินสะสม และเงินสมทบไปลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามที่ลูกจ้างได้แสดงเจตจำนงไว้

แต่หากลูกจ้างไม่แสดงเจตนาหรือเลือกนโยบายลงทุน กำหนดให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด รวมทั้งให้แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการบันทึกรายได้ของกองทุนฯในกองทุนหลายนายจ้างด้วย ซึ่งทั้งหมดกำหนดให้ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาก่อน เสนอให้สนช.พิจารณาต่อไป


ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558