พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน.-ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่
Posted: 26 Feb 2015, 16:41
พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน.-ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่
“พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน.-ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
“พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน. ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ หลังทะลักเข้ามามากจนฉุดราคาภายในประเทศตกต่ำ ทำเกษตรกรเดือดร้อน พร้อมขอความร่วมมือผู้นำเข้าให้ชะลอขายหอมนอก รอให้เกษตรกรขายผลผลิตให้หมดก่อน
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในขณะนี้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และกรมศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้าจากจีน เพราะเป็นสาเหตุทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ในประเทศตกต่ำ
ทั้งนี้ ยังได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการนำเข้าให้ชะลอการจำหน่ายหอมหัวใหญ่ที่นำเข้าออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สามารถขายผลผลิตของตนเองได้ โดยเชื่อว่าผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือ เพราะหอมหัวใหญ่สามารถเก็บในห้องเย็นได้นาน ไม่เน่าเสีย ส่วนกรณีที่จังหวัดเชียงใหม่เสนอให้ คชก.อนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่นั้น ที่ประชุมได้มีมติให้จังหวัดเชียงใหม่ทำตัวเลขให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อนำกลับมาเสนอใหม่อีกครั้ง
“ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกเกิดจากการลักลอบนำเข้าปีละจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่คุมเข้มการลักลอบนำเข้าแล้ว ถ้าป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพปัญหาจะลดลงแน่นอน ส่วนการนำเข้าตามข้อผูกพันการเปิดตลาดของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ไม่มีปัญหา เพราะนำเข้าปริมาณไม่มาก” นายบุณยฤทธิ์กล่าว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้เตรียมแผนรับมือสินค้าเกษตรในช่วงหน้าแล้งแล้ว โดยเฉพาะหอมหัวแดงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดในขณะนี้ โดยคาดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนข้าวเปลือกนาปรังที่คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะเสียหายจากภัยแล้งประมาณ 7 ล้านตันข้าวเปลือกนั้น กระทรวงฯ ได้เตรียมหาอาชีพเสริมไว้ให้เกษตรกรแล้วเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เช่น อาจจะให้หันไปทำสินค้าโอทอป หรือสินค้าชุมชน
ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนด้านทรัพย์สินทางปัญญาออกแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ยืนยันว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาสถิติการปราบปรามเพิ่มขึ้นมาก ส่วนในปีนี้ไทยจะหลุดจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา (PWL) ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 (พิเศษ) หรือไม่นั้นตนไม่คาดหวังอยู่แล้ว แต่ไทยพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไทยเปิดตลาดนำเข้าหอมหัวใหญ่ ภายใต้ข้อตกลง WTO ครั้งละ 3 ปี ล่าสุดกำหนดการนำเข้าช่วงปี 2555-57 ปริมาณในโควตาปีละ 365 ตัน ภาษีในโควตา 27% และภาษีนอกโควตา 142% ส่วนปี 2558 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้อนุมัติการนำเข้า
สำหรับในไทย แหล่งเพาะปลูกหอมหัวใหญ่แหล่งใหญ่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ คิดเป็นสัดส่วน 86% ของการเพาะปลูกทั้งประเทศ มีความต้องการใช้ในประเทศปีละ 90,000 ตัน ผลิตได้ในประเทศราว 50,000 ตัน แต่มีการนำเข้ากว่า 70,000 ตัน ส่วนราคาหอมหัวใหญ่ในประเทศ เบอร์ 1 (ตัดจุก) จากเว็บไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เดือน ก.พ. 2558 สัปดาห์แรกกิโลกรัมละ (กก.) ละ 10 บาท สัปดาห์ที่ 2 ลดลงเหลือ กก.ละ 9.03 บาท และสัปดาห์ที่ 3 เหลือ กก.ละ 8.03 บาท
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558
“พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน.-ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
“พาณิชย์” ขอแรง กอ.รมน. ศุลกากร คุมเข้มลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ หลังทะลักเข้ามามากจนฉุดราคาภายในประเทศตกต่ำ ทำเกษตรกรเดือดร้อน พร้อมขอความร่วมมือผู้นำเข้าให้ชะลอขายหอมนอก รอให้เกษตรกรขายผลผลิตให้หมดก่อน
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในขณะนี้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และกรมศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้าจากจีน เพราะเป็นสาเหตุทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ในประเทศตกต่ำ
ทั้งนี้ ยังได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการนำเข้าให้ชะลอการจำหน่ายหอมหัวใหญ่ที่นำเข้าออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สามารถขายผลผลิตของตนเองได้ โดยเชื่อว่าผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือ เพราะหอมหัวใหญ่สามารถเก็บในห้องเย็นได้นาน ไม่เน่าเสีย ส่วนกรณีที่จังหวัดเชียงใหม่เสนอให้ คชก.อนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่นั้น ที่ประชุมได้มีมติให้จังหวัดเชียงใหม่ทำตัวเลขให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อนำกลับมาเสนอใหม่อีกครั้ง
“ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกเกิดจากการลักลอบนำเข้าปีละจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่คุมเข้มการลักลอบนำเข้าแล้ว ถ้าป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพปัญหาจะลดลงแน่นอน ส่วนการนำเข้าตามข้อผูกพันการเปิดตลาดของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ไม่มีปัญหา เพราะนำเข้าปริมาณไม่มาก” นายบุณยฤทธิ์กล่าว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้เตรียมแผนรับมือสินค้าเกษตรในช่วงหน้าแล้งแล้ว โดยเฉพาะหอมหัวแดงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดในขณะนี้ โดยคาดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนข้าวเปลือกนาปรังที่คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะเสียหายจากภัยแล้งประมาณ 7 ล้านตันข้าวเปลือกนั้น กระทรวงฯ ได้เตรียมหาอาชีพเสริมไว้ให้เกษตรกรแล้วเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เช่น อาจจะให้หันไปทำสินค้าโอทอป หรือสินค้าชุมชน
ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนด้านทรัพย์สินทางปัญญาออกแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ยืนยันว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาสถิติการปราบปรามเพิ่มขึ้นมาก ส่วนในปีนี้ไทยจะหลุดจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา (PWL) ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 (พิเศษ) หรือไม่นั้นตนไม่คาดหวังอยู่แล้ว แต่ไทยพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไทยเปิดตลาดนำเข้าหอมหัวใหญ่ ภายใต้ข้อตกลง WTO ครั้งละ 3 ปี ล่าสุดกำหนดการนำเข้าช่วงปี 2555-57 ปริมาณในโควตาปีละ 365 ตัน ภาษีในโควตา 27% และภาษีนอกโควตา 142% ส่วนปี 2558 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้อนุมัติการนำเข้า
สำหรับในไทย แหล่งเพาะปลูกหอมหัวใหญ่แหล่งใหญ่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ คิดเป็นสัดส่วน 86% ของการเพาะปลูกทั้งประเทศ มีความต้องการใช้ในประเทศปีละ 90,000 ตัน ผลิตได้ในประเทศราว 50,000 ตัน แต่มีการนำเข้ากว่า 70,000 ตัน ส่วนราคาหอมหัวใหญ่ในประเทศ เบอร์ 1 (ตัดจุก) จากเว็บไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เดือน ก.พ. 2558 สัปดาห์แรกกิโลกรัมละ (กก.) ละ 10 บาท สัปดาห์ที่ 2 ลดลงเหลือ กก.ละ 9.03 บาท และสัปดาห์ที่ 3 เหลือ กก.ละ 8.03 บาท
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558