‘ชาญอิสสระ’เมินลงทุนเออีซี จับมือพันธมิตรลุยตลาดจีน

[brid.ladawan]

‘ชาญอิสสระ’เมินลงทุนเออีซี จับมือพันธมิตรลุยตลาดจีน

“สงกรานต์ อิสสระ”ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมรับมือกับเออีซี ด้วยมุมมองที่ว่าการร่วมมือกัน การรวมกัน คือเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

อีกเพียงไม่กี่ก้าว การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้... ทำให้บรรดาภาคธุรกิจต่างกระตือรือร้นกันมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์จากการนี้แบบเต็ม ๆ ส่งผลให้ตลาดคึกคักขึ้น

“สงกรานต์ อิสสระ”ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมรับมือกับเออีซี ด้วยมุมมองที่ว่าการร่วมมือกัน การรวมกัน คือเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เพราะจะทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น ค้าขายกันได้มากขึ้น ทุกประเทศสมาชิกล้วนได้รับประโยชน์จากเออีซี

แม้มีข้อดี! แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ย่อมมีข้อด้อยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ “คู่แข่ง” ที่เพิ่มขึ้นตามลูกค้าที่มีมากขึ้น ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้การรุกธุรกิจในเออีซีไม่ง่ายนัก ที่สำคัญยังมีตัวอย่าง ให้เห็นหลายรายที่ออกไปลงทุนแล้ว ไม่สำเร็จต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ จึงทำให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการในแต่ละประเทศ ย่อมต้องเข้าใจลูกค้าตัวเองดีที่สุดโดยเฉพาะนักธุรกิจไทย เข้าใจตลาดไทยได้ดีที่สุด เพราะมีบทเรียนหลายครั้งหลายครา

ปัญหาของเอกชนไทยส่วนใหญ่ คือ “เงินทุน” จึงทำให้ต่างชาติใช้ช่องนี้...เข้ามาร่วมทุนด้วย เช่นเดียวกับ “ชาญอิสระ” ที่มี “พันธมิตร” มาทำธุรกิจในหลายโครงการ แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นพันธมิตรคนไทย และดำเนินธุรกิจในไทยเป็นหลัก โดยไม่มีแนวคิดออกไปลุยพัฒนาโครงการในประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด

มีบทเรียนสอนใจ

บิ๊กบอสชาญอิสสระ...ยอมรับว่าที่ผ่านมาเคยออกไปสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เมียนมาร์หลายครั้งมาก! เพราะสนใจจะเข้าไปพัฒนาโครงการหรู เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพในการลงทุน แต่ก็ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้ได้ ด้วยข้อกฎหมายการให้ชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนยังไม่ชัดเจน อีกทั้งมีบทเรียนตัวอย่างจาก บิ๊กอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายแห่งที่ไม่ประสบผลสำเร็จ

เมื่อถึงตรงนี้ เลยขอแขวนป้าย “รอก่อน” จนกว่าจะแน่ใจว่าออกไปแล้วต้องไม่เจ็บตัวกลับมา แต่ใช่ว่าเป็นการปิดโอกาสทั้งหมด ในเมื่อตลาดเมียนมาร์ยังมีโอกาส จึงขอลุยธุรกิจอาหารก่อน โดยตั้งบริษัทลูก และนำแบรนด์อาหารญี่ปุ่น “ฮิดะ ยากินิคุเตน” ที่ร่วมกับบริษัทในเครือฮอนโมโน กรุ๊ป เข้าไปเปิดร้านชิมลางก่อนในนครย่างกุ้ง ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะเปิดสาขาแรกได้

ขอลุยตลาดจีนแทน

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลานี้ ให้ความสนใจกับตลาดจีน เพราะเวลานี้ชาวจีนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากมายมหาศาล จึงเห็นโอกาสจากตรงนี้ โดยที่จะโลว์ซีซั่นหรือไฮซีซั่น....ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว แต่กลายเป็น “บีซี่บิสซิเนส” ที่เข้ามามีความหมายมากกว่า จึงได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ “ลี จุน” จากจีน เพื่อพัฒนาโครงการโรงแรม “บาบา บีช คลับ” จ.ภูเก็ต มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และมีแผนพัฒนาโรงแรมศรีพันวา และโรงแรมบาบา บีช ในจีน ในอีก 5 ปีข้างหน้าภายใต้การดูแลของบริษัทร่วมทุน “อิสสระจุนฟา จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 450 ล้านบาท

“สงกรานต์” บอกด้วยว่าด้วยการที่ “ชาญอิสสระ” เป็นธุรกิจครอบครัว เริ่มจากรุ่นพ่ออย่าง “ชาญ อิสสระ” จนถึงขณะนี้เป็นเวลากว่า 26 ปี แล้ว เพราะการเป็นครอบครัวคนจีน จึงทำธุรกิจแบบกากีนั้ง คนกันเอง มีข้อเสียมากหากไม่ได้พูดคุยกัน ยิ่งคิดเองทำเอง ทำให้เกิดปัญหา จนมาถึงรุ่น 2 คือตัวเอง จึงได้วางแผนการทำงานให้ชัดเจน แต่ละงานต้องมีผู้นำ ต้องกำหนดกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง โดยเฉพาะการร่วมทุนกับพันธมิตร ที่ต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน ขณะที่หลักคิดการทำงานคือ ซื่อสัตย์ทั้งกับผู้ถือหุ้น พนักงาน และลูกค้า เน้นการทำงานเป็นทีมเวิร์กใส่ใจในรายละเอียด

กลายพันธุ์แต่มีดีเอ็นเอ

เมื่อเข้าสู่ “รุ่น 3” ที่ทั้งลูกชายและลูกสาว ต่างเข้ามาช่วยบริหารงานเพิ่มขึ้น แม้ช่วงแรกยังไม่ได้วางมือแบบ 100% เพราะตัวเองยังสามารถสนับสนุนให้ลูกแข็งแกร่งได้อีกมาก เพราะมีสายสัมพันธ์หรือคอนเน็คชั่น ด้วยความเชื่อที่ว่า ผลงาน ความน่าเชื่อถือและบารมีที่มีอยู่นี้ ยังดูแลคุ้มครองไม่ให้ใครมาคิดร้ายปองร้ายบริษัทได้ ที่สำคัญไม่ได้บีบบังคับให้ทายาทต้องทำธุรกิจครอบครัว เพราะรู้ว่าไปไม่รอด จึงได้พยายามพัฒนาองค์กรจากธุรกิจครอบครัวไปสู่ธุรกิจมืออาชีพด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อเป็นบริษัทแม่ โดยให้ทายาททั้ง 3 คน บริหารงานผ่านบริษัทในเครือ เพื่อความโปร่งใส ที่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้องค์กรให้แข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต แม้ไม่ได้บังคับแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเป็นธุรกิจครอบครัวเหลืออยู่เลย เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็มาช่วยกันทำงานเท่ากับว่า ธุรกิจครอบครัวยังมีอยู่ คือ ’กลายพันธุ์ แต่ว่ามีดีเอ็นเออยู่”

ศรีพันวาคือความภูมิใจ

“วรสิทธิ อิสสระ” หรือ “ปลาวาฬ” แห่งโรงแรมศรีพันวา ที่เข้ามาพัฒนาและบริหารศรีพันวามาประมาณ 10 ปี เจ้าตัวยืนยันว่า พ่อไม่ได้บังคับให้ต้องสืบทอดธุรกิจแต่เพราะตัวเองชื่นชอบความสนุกสนาน การท่องเที่ยว การทำอาหาร การดื่ม จึงเรียนและฝึกงานการโรงแรมเพื่อต่อยอดธุรกิจ แม้เป็นรุ่นที่ 3 แต่นับได้ว่าเป็นรุ่นแรก แห่งธุรกิจโรงแรม ด้วยมุมมองที่ว่าต้องการให้มีปาร์ตี้ สนุกสนาน ซึ่งต้องมีสถานที่คือ โรงแรม และต้องเป็นบรรยากาศที่สนุกสนาน สวยงาม ไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมแข็ง ๆ ทื่อ ๆ พร้อมทั้งมีบริการที่ดีเลิศ ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนอายุ 22 ปี ที่ได้เดินทางท่องเที่ยว ฝึกงาน เติมประสบการณ์ หาไอเดีย จน 25 ปี จึงแจ้งเกิดโรงแรมหรู “ศรีพันวา” และภูมิใจที่ประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้

ทำงานด้วยความสุข

ด้าน “ดิษฐวัฒน์ อิสสระ”หรือ “ปลาทู” ที่เต็มใจเข้ามาช่วยพ่อทำงานจากเริ่มแรกที่คิดว่า ธุรกิจนี้ต้องไปเรียนวิศวกร แต่เมื่อไปเรียนกลับไม่ชอบจากนั้นจึงทดลองฝึกงานด้านต่าง ๆ อยู่หลายด้าน จนค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นนักปั้นชอบศิลปะ จึงประยุกต์อย่างลงตัว ด้วยการเรียนศิลปะการออกแบบ แล้วกลับมาปั้นคอนโดมิเนียม ดูแลงานด้านการออกแบบการก่อสร้างโครงการของบริษัทซึ่งช่วยพ่อทำงานได้ 7-8 ปีแล้ว รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตร ที่ทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา ต้องพูดคุย ต้องหารือกันว่า จะทำอะไรชอบหรือไม่ชอบ ลงตัวมั้ย ไม่ใช่คิดอยู่คนเดียว ด้วยมีแนวความคิดที่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อย่ายึดตัวเองเป็นหลัก และทำอะไรก็ต้องทำด้วยความสุข ความสนุก

แบ่งเวลาช่วยงานพ่อ

สุดท้าย “ปลาเข็ม” หรือ “กรัชเพชร อิสสระ” น้องสุดท้อง ที่แม้ว่าได้ทำงานบริษัทของตัวเอง คือออกแบบเสื้อผ้าและมีร้านของตัวเองในนามเข็มอิสสระ แต่ได้แบ่งเวลาเข้ามาช่วยงานได้ 4-5 เดือนแล้วโดยมาช่วยดูด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

แม้...ครอบครัวอิสสระ จะไม่มี “ธรรมนูญครอบครัว” แต่ก็มีแนวคิดในการทำงานแบบอิสระ แต่การทำงานแบบอิสระต้องดีที่สุดหรือเป็น “พรีเมียม” ในทุกด้าน ด้วยเหตุนี้ธุรกิจของชาญอิสสระ จึงโลดแล่นอยู่บนเวทีได้อย่างแข็งแกร่ง!.

ทีมเศรษฐกิจ

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 7 มีนาคม 2558