โออิชิปรับแผนสร้างแบรนด์

[brid.ladawan]

โออิชิปรับแผนสร้างแบรนด์

เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ในการยกระดับแบรนด์โออิชิสู่การเป็นผู้นำในตลาดอาหาร-เครื่องดื่ม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการฉีกหนีการฟาดฟันกลยุทธ์การตลาดแบบเดิม ๆ

โออิชิปรับแผนสร้างแบรนด์ ผู้นำธุรกิจ‘อาหาร-เครื่องดื่ม’

หลังจากเปลี่ยนถ่าย ’แบรนด์โออิชิ” มาอยู่ใน ’ไทยเบฟเวอเรจ” พร้อมทั้งเปิดศึกการตลาดแบบถึงลูกถึงคนตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จวบจนถึงปี 2558 กลุ่มโออิชิได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ในการยกระดับแบรนด์โออิชิสู่การเป็นผู้นำในตลาดอาหาร-เครื่องดื่ม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการฉีกหนีการฟาดฟันกลยุทธ์การตลาดแบบเดิม ๆ มาสู่มุ่งมั่นด้วยการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง สู่การเป็นผู้นำอย่างยั่งยืน

โดย นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ไม่เน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายชนกับคู่แข่งเหมือนที่ผ่านมา แต่เน้นแคมเปญที่สร้างให้แบรนด์โออิชิเข้มแข็ง ซึ่งมีแผนที่จะส่งออกชาเขียวพร้อมดื่มและชาสมุนไพรไปเปิดตลาดที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากชาวเวียดนามนิยมดื่มชาเป็นจำนวนมาก และคู่แข่งมีน้อย ดังนั้นวางแผนไว้ว่าจะใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตป้อนตลาดในประเทศและส่งออกยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่น คาดว่าจะได้ข้อสรุปปีนี้

นอกจากนี้ใช้โรงงานบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ เอฟแอนด์เอ็น หลังจากไทยเบฟเวอเรจเข้าซื้อหุ้น ส่งออกชาเขียวป้อนตลาดมาเลเซีย หากตอบรับดีก็จะขยายตลาดไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้น สำหรับอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์นั้นสนใจเข้าไปขยายตลาดเช่นกัน แต่ต้องดูลำดับความสำคัญ เพราะการไปในแต่ละประเทศต้องติด 1 ใน 3 ของผู้นำตลาด ส่วนในประเทศจะใช้บริษัท เสริมสุข เข้ามาเพิ่มช่องทางตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขณะที่ร้านอาหารจะขยายทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ด้านผลิตภัณฑ์อาหารจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม พร้อมเปิดกว้างหาพันธมิตรร่วมลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจเครื่องดื่ม

’แคมเปญใหญ่จะออกปีละ 1 ครั้ง และแคมเปญเสริมในช่วงเทศกาลต่าง ๆ แต่จะไม่อัดแคมเปญถี่ยิบเหมือนก่อน โดยการทำตลาดเครื่องดื่มนั้น จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่รักสุขภาพในปีนี้อีก 2-3 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันยอดขายเครื่องดื่มมากสุดคือ ชาเขียวมีสัดส่วนมากถึง 80% และที่เหลือ 20% เป็นชาสมุนไพร”

สำหรับปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 15,500 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจอาหาร 8,500 ล้านบาท และธุรกิจเครื่องดื่ม 7,000 ล้านบาท และ ตั้งงบประมาณการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 900 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตและขยายสาขาจากปี 57 มีรายได้จากการขาย 12,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน มาจากธุรกิจอาหาร 6,602 ล้านบาท รองลงมาคือธุรกิจเครื่องดื่ม 5,802 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 521 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งเร่งขยายตลาด เพื่อกวาดรายได้ใน 5 ปีข้างหน้ากว่า 43,000 ล้านบาท

นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป เล่าว่าพร้อมขยายพื้นที่ให้บริการและสาขาเพิ่มอีก 40 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่ 225 สาขา และปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัย โดยใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศนั้นกำลังเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อเข้าไปเปิดให้บริการลูกค้าที่ประเทศลาวและกัมพูชา อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าขยายตลาดในประเทศกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไม่ต่ำกว่า 10 สาขาใน 5 ปี ด้วยงบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยจำนำร่องร้านอาหารญี่ปุ่น “ชาบูชิ” ก่อน ส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้เข้าเป้า 13,000 ล้านบาทในปี 63

นางเจษฎากร โคชส์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทฯยังเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดชาเขียว 45% ทิ้งห่างคู่แข่งที่มีส่วนแบ่ง 32% เพราะความแข็งแกร่งในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งร้านสะดวกซื้อเติบโต 42% ซุปเปอร์ไฮเปอร์ 43% และร้านค้าปลีกที่ 48% โดยแผนงานปีนี้จะเติบโต 21% และใช้งบประมาณทำตลาด 14% ของยอดขาย เจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และผู้ที่รักสุขภาพ นอกจากนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศกลุ่มเออีซี ได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ตรงตามความต้องการผู้บริโภคในแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศจีน อังกฤษ กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางเช่น ยูเออี ดูไบ โอมาน และ บาห์เรน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ขนาด 380 มล. เป็นหัวหอกเข้าไปทำตลาดในแต่ละประเทศ

การเข้าสู่เส้นชัยไม่ใช่เป็นภาพความสำเร็จของ “โออิชิ” เท่านั้น แต่เป็นตัวจักรสำคัญให้บริษัทแม่ “ไทยเบฟเวอเรจ” ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 บริษัทผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มของภูมิภาคเอเชีย!.

สุกัญญา สังฆธรรม

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 12 มีนาคม 2558