Page 1 of 1

‘ฉัตรชัย’ขนเอกชนลุยแดนโรตี

Posted: 13 Mar 2015, 09:57
by brid.ladawan
‘ฉัตรชัย’ขนเอกชนลุยแดนโรตี

เป็นที่จับตามองของนักลงทุนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากมาย รวมถึงไทยด้วย เพราะอินเดียถือเป็นตลาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1,200 ล้านคน

‘ฉัตรชัย’ขนเอกชนลุยแดนโรตี
เจาะตลาดคนรวย350ล้านคน

หลังจาก ’นเรนทรา โมดี“ ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของอินเดียพร้อมประกาศนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่หลากหลายจนสร้างความหวังให้กับคนในประเทศแล้ว ยังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากมาย รวมถึงไทยด้วย เพราะอินเดียถือเป็นตลาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1,200 ล้านคน และในจำนวนนี้เป็นกลุ่มชนชั้นกลางหรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงไม่ต่ำกว่า 350 ล้านคนทีเดียว

สำหรับไทยแม้มีนักลงทุนเข้าไปทำธุรกิจในอินเดียมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแล้ว แต่รัฐบาลมองว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ และถือว่าไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับตลาดใหญ่ที่มีประชากรเกิน 1,200 ล้านคน ดังนั้นจึงมีแผนส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้ามาขยายฐานการค้าและการลงทุนในอินเดียมากขึ้นหรือการใช้อินเดียเป็นประตูการค้าเพื่อขยายการส่งออกไปยังตลาดประเทศเอเชียใต้

อย่างน้อย...การพุ่งเป้าหมายตลาดอินเดียให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้การส่งออกไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ 4% ก็เป็นไปได้หลังจากเดือนม.ค. 58 การส่งออกไทยประเดิมติดลบ 3.46% เพราะตลาดใหม่ ๆอย่างอินเดีย จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจในตลาดหลักอย่างยุโรปอเมริกาได้

“พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” รมว.พาณิชย์ ให้เหตุผลว่า การนำทัพเอกชนไทยมาโรดโชว์ประเทศอินเดียครั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ในการขยายและเพิ่มมูลค่าการส่งออกไทยโดยอินเดียปัจจุบันรัฐบาลอินเดียออกนโยบายเพื่อมุ่งพัฒนาประเทศให้เติบโตในทุกมิติพร้อมทั้งเน้นการดึงดูดการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศเพื่อให้อินเดียกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก รวมถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียโดยเฉพาะอาเซียน

ต้องยอมรับว่าเวลานี้...อินเดีย...มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากจีนและญี่ปุ่น โดยมีการประเมินกันว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 7% ต่อปี และอีก 5 ปีข้างหน้าอินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลก โดย 60% จีดีพีมาจากภาคบริการซึ่งสาขาที่มีการขยายตัวและดึงดูดการลงทุนมากที่สุด คือ สารสนเทศและโทรคมนาคม,การเงินและการธนาคาร, การศึกษาวิจัยและการก่อสร้าง และ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี มีแผนเดินทางมาเยือนอินเดียด้วย

ทั้งนี้ผลจากการเดินทางเยือนอินเดียประสบผลสำเร็จอย่างดี เพราะทั้งภาครัฐและเอกชนอินเดียต่างสนใจและร่วมมือกับไทยในการขยายการค้า การลงทุนเป็นอย่างดี เห็นได้จากการตัดสินใจของบริษัท อพอลโล ไทรส์ จำกัด ผู้ผลิตยางรถยนต์อันดับ 1 ของอินเดียที่ได้ลงนามกับนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จ.ระยอง เพื่อซื้อพื้นที่ 300 ไร่ มาตั้งโรงงานในไทยวงเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นฐานผลิตยางรถยนต์ในการส่งออกไปทั่วโลก โดยจะใช้ยางในไทยไม่ต่ำกว่า 100,000 ตันต่อปี (ผลิตยางรถยนต์ 12 ล้านเส้น) เพราะตรงนี้จะช่วยแก้ปัญหาราคายางที่ตกต่ำได้ ซึ่งกลายเป็นบิ๊กเซอร์ไพร้ส์เลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีการลงนามในเอ็มโอยู 7 ฉบับ ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างท่าเรือขนส่งสินค้าในมุมไบของบริษัทไอทีดี, การลงนามความร่วมมือระหว่างหอการค้าเมืองสุราตกับหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี, การลงนามเอ็มโอยู ขายสินค้าอาหารของไทยในตลาดอินเดีย, การขยายการนำเข้าต้นกล้วยไม้จากไทย, การเพิ่มสาขาไก่ทอด 5 ดาวจากเดิม 250 สาขา เป็น 300สาขา, การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทยเพื่อขยายอุตสาหกรรมกำจัดมลพิษทางอากาศไทยและอาเซียนและการจัดตั้งโรงงานผลิตล้อรถยนต์ในประเทศ รวมทั้งภาครัฐของทั้งสองประเทศ เตรียมรื้อฟื้นการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างกันอีกรอบ หลังชะลอไป โดยเป้าหมายใหญ่คือ...ไทยต้องการให้อินเดียเป็นประตูการค้าเพื่อเป็นฐานการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในเอเชียใต้และให้อินเดียใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนและการส่งออกสินค้าไปยังอาเซียน

ในแง่มุมของภาคเอกชนแล้วต่างมองว่าเป็นเรื่องที่ดีและเปิดโอกาสให้เอกชน โดย “เกรียงไกร เธียรนุกูล” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า เอกชนไทยต้องเปลี่ยนทัศนคติ เพราะเวลานี้อินเดียมีความเจริญ และมีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะความต้องการสินค้าแบรนด์เนม และสินค้าที่มีคุณภาพซึ่งไม่แปลกที่นักธุรกิจทั่วโลกแห่เข้ามาทำสัญญาลงนามเพื่อทำธุรกิจกับอินเดียจำนวนมหาศาล

ถือเป็นโอกาสดีที่ภาครัฐและเอกชนเร่งผูกมิตรการค้าและการลงทุนกับอินเดียให้แน่นแฟ้นขึ้นเพราะในอนาคตอินเดียจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นเบอร์ 1ของโลกแซงหน้าประเทศจีนและขนาดเศรษฐกิจก็จะโตขึ้นอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก เห็นได้จากบรรดาคนรวยในอินเดียรวมถึงกลุ่มชนชั้นกลางที่มีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง.

มนัส แวววันจิตร

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 13 มีนาคม 2558