Page 1 of 1

กสิกรไทยหั่นเป้าจีดีพี

Posted: 13 Mar 2015, 10:04
by brid.ladawan
กสิกรไทยหั่นเป้าจีดีพี

แบงก์กสิกรไทยปรับลดเป้าจีดีพีปีแพะเหลือ 2.5-3.5% ส่งออกโต 1-2% เหตุปัจจัยต่างประเทศเสี่ยงสูง แนะออกพันธบัตรล็อคต้นทุนเมกะโปรเจค

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยในงานสัมมนา “แนวโน้มเศรษฐกิจโลก กระแสความเคลื่อนไหวของค่าเงิน และหุ้นเด่น”ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยระยะสั้น เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูงเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจ และเห็นว่ารัฐควรเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวมากกว่า เพราะในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาเบิกจ่ายเพียง 13% ปกติต้องเบิกจ่าย 20-30% ขณะที่การส่งออกชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

“เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันยังอยู่ระดับต่ำ ทำให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัว ส่วนการลดดอกเบี้ยของกนง.ครั้งนี้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 30สต.ต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากกว่า เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากการนำเข้าน้ำมันที่ลดลงจึงเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ในสิ้นปีนี้คาดว่าค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เงินไหลออก อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ปรับลดกจีดีพี ปีนี้โตเพียง 2.5-3.5% ส่งออกโต 1-2% จากเดิมจีดีพีโต 4% ส่งออกโต 3%

“ทั้งนี้แม้ว่าดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำ แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยาวยังอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นเห็นว่ารัฐควรระดมเงินทุนรองรับการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ช่วงนี้ เพื่อเป็นการล็อคต้นทุน เพราะถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นไปอีกและทำให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยปัญหาในยุโรป เศรษฐกิจจีนที่เติบโตในอัตราชะลอตัวลงเหลือ 7% ถือเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 24 ปี และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด



นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนตลาดหุ้นในระยะสั้นยังมีความเสี่ยง จากปัจจัยกดดันในเรื่องของราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพง ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรหุ้นหรือพีอีสูงถึง 16 เท่า เมื่อเทียบกับระดับปกติที่ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13 เท่า ส่งผลให้เกิดการขายทำกำไร ตั้งแต่ช่วงที่หุ้นไทยแตะระดับ 1,620 จุดเป็นต้นมา และเศรษฐกิจไทยช่วงต้นปีไม่ค่อยดีการเบิกจ่ายล่าช้า ส่งออกติดลบ แต่คาดว่าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้ตลาดหุ้นผันผวนและอาจปรับฐานลงมาที่ระดับ 1,400 จุด สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนคือ กลุ่มท่องเที่ยว ที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันในระดับต่ำ เช่น สายการบินและโรงแรม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร

ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 12 มีนาคม 2558