ซิงเกอร์ยืดเวลาผ่อนค่างวดหนีหนี้เสีย
Posted: 18 Mar 2015, 11:16
ซิงเกอร์ยืดเวลาผ่อนค่างวดหนีหนี้เสีย
ทุ่ม 40 ล้านบาท หันลุยธุรกิจตู้เติมเงิน ทั้งตู้น้ำ ตู้หยอดเหรียญ ตู้เติมเงินมือถือ เมินนาโนไฟแนนซ์ เหตุเสี่ยงสูง
นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยืดระยะเวลาการผ่อนชำระค่างวดสินค้า จากปกติที่มีเวลาผ่อน 2 ปี เป็น 4 ปี พร้อมทั้งลดเงินดาวน์สินค้า จาก 10% ของราคา เหลือ 5% เพื่อช่วยลดภาระในการผ่อนให้ลูกค้า ในช่วงที่ประเทศมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูง โดยมองว่า จะช่วยทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของบริษัทในปีนี้ น่าจะยังทรงตัวเท่าปี 57 ที่ผ่านมาที่ 6.5% ได้ และปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายพอร์ตสินเชื่อจาก 2,200 ล้านบาท เป็น 2,5วันอังคาร 17 มีนาคม 2558 เวลา 13:34 น.
00 ล้านบาท ด้วยการเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 3,000-5,000 บัญชี จากสิ้นปี 57 ที่มีลูกค้ากว่า 160,000 บัญชีแล้ว
“ทั้งนี้บริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก กำลังซื้อก็ยังชะลอตัว ดังนั้นบริษัทจึงพยายามใช้กลยุทธ์ที่ไม่ปรับตัวตามนโยบายของทางภาครัฐ แต่จะเน้นในการให้ความสำคัญกับสินค้าตู้เครื่องจักร เช่น ตู้เติมเงินมือถือ ที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีและเพิ่มปริมาณตู้เติมเงินเดือนละ 700-800 ตู้ จากปี 57 ที่มีอยู่ 50,000 ตู้ เพราะได้รับความนิยมค่อนข้างสูง , นอกจากนี้ มีตู้น้ำมันหยอดเหรียญ จะเพิ่มอีก 5,000 ตู้ในปีนี้ จากปีก่อนที่มี 7,000 ตู้ และจะเพิ่มการขายตู้น้ำหยอดเหรียญให้มากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้ปีนี้ให้เติบโต 7-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,440 ล้านบาท”
ปีนี้บริษัทมีงบลงทุนทั้งสิ้น 40 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ ที่ตั้งอยู่ในชุมชนพื้นที่ จ.ภูเก็ต, สุโขทัย, นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ตกแต่งสาขาขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับปรุงระบบตู้เติมเงินมือถือ ด้วยการพัฒนาระบบเซิร์ฟเวอร์ รวมทั้งมีงบการตลาดอีก 100 ล้านบาทเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งปี
“ส่วนธุรกิจนาโนไฟแนนซ์นั้น บริษัทยังไม่สนใจ เพราะเห็นว่า เป็นธุรกิจมีความเสี่ยงสูง เป็นดาบสองคม และไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร ในด้านการทำธุรกิจ ที่ต้องการเน้นเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าเป็นหลัก โดยให้ลูกค้านำสินค้าไปประกอบอาชีพจริง ซึ่งต่างจากสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ที่ไม่รู้ว่ากู้เงินไปใช้ด้านใดบ้าง อีกทั้งไม่ต้องการไปติดตามทวงหนี้ ที่ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียหาย แต่ทั้งนี้บริษัทกำลังศึกษาลู่ทางการซื้อกิจการ
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 17 มีนาคม 2558
ทุ่ม 40 ล้านบาท หันลุยธุรกิจตู้เติมเงิน ทั้งตู้น้ำ ตู้หยอดเหรียญ ตู้เติมเงินมือถือ เมินนาโนไฟแนนซ์ เหตุเสี่ยงสูง
นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยืดระยะเวลาการผ่อนชำระค่างวดสินค้า จากปกติที่มีเวลาผ่อน 2 ปี เป็น 4 ปี พร้อมทั้งลดเงินดาวน์สินค้า จาก 10% ของราคา เหลือ 5% เพื่อช่วยลดภาระในการผ่อนให้ลูกค้า ในช่วงที่ประเทศมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูง โดยมองว่า จะช่วยทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของบริษัทในปีนี้ น่าจะยังทรงตัวเท่าปี 57 ที่ผ่านมาที่ 6.5% ได้ และปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายพอร์ตสินเชื่อจาก 2,200 ล้านบาท เป็น 2,5วันอังคาร 17 มีนาคม 2558 เวลา 13:34 น.
00 ล้านบาท ด้วยการเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 3,000-5,000 บัญชี จากสิ้นปี 57 ที่มีลูกค้ากว่า 160,000 บัญชีแล้ว
“ทั้งนี้บริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก กำลังซื้อก็ยังชะลอตัว ดังนั้นบริษัทจึงพยายามใช้กลยุทธ์ที่ไม่ปรับตัวตามนโยบายของทางภาครัฐ แต่จะเน้นในการให้ความสำคัญกับสินค้าตู้เครื่องจักร เช่น ตู้เติมเงินมือถือ ที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีและเพิ่มปริมาณตู้เติมเงินเดือนละ 700-800 ตู้ จากปี 57 ที่มีอยู่ 50,000 ตู้ เพราะได้รับความนิยมค่อนข้างสูง , นอกจากนี้ มีตู้น้ำมันหยอดเหรียญ จะเพิ่มอีก 5,000 ตู้ในปีนี้ จากปีก่อนที่มี 7,000 ตู้ และจะเพิ่มการขายตู้น้ำหยอดเหรียญให้มากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้ปีนี้ให้เติบโต 7-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,440 ล้านบาท”
ปีนี้บริษัทมีงบลงทุนทั้งสิ้น 40 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ ที่ตั้งอยู่ในชุมชนพื้นที่ จ.ภูเก็ต, สุโขทัย, นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ตกแต่งสาขาขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับปรุงระบบตู้เติมเงินมือถือ ด้วยการพัฒนาระบบเซิร์ฟเวอร์ รวมทั้งมีงบการตลาดอีก 100 ล้านบาทเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งปี
“ส่วนธุรกิจนาโนไฟแนนซ์นั้น บริษัทยังไม่สนใจ เพราะเห็นว่า เป็นธุรกิจมีความเสี่ยงสูง เป็นดาบสองคม และไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร ในด้านการทำธุรกิจ ที่ต้องการเน้นเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าเป็นหลัก โดยให้ลูกค้านำสินค้าไปประกอบอาชีพจริง ซึ่งต่างจากสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ที่ไม่รู้ว่ากู้เงินไปใช้ด้านใดบ้าง อีกทั้งไม่ต้องการไปติดตามทวงหนี้ ที่ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียหาย แต่ทั้งนี้บริษัทกำลังศึกษาลู่ทางการซื้อกิจการ
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 17 มีนาคม 2558