อึ้ง! ซุปก้อนมีโซเดียมเกินร่างกายควรรับ แนะลดเค็มแต่เด็กได้ผ
Posted: 24 Mar 2015, 17:47
อึ้ง! ซุปก้อนมีโซเดียมเกินร่างกายควรรับ แนะลดเค็มแต่เด็กได้ผลถึงแก่
กรมอนามัยชี้ กินเค็มแต่เด็ก ส่งผลกินเค็มจนแก่ เสี่ยงโรคเรื้อรัง ทั้งไตวาย ความดันสูง กระดูกพรุน แนะฝึกเด็กลดกินเค็มแต่เด็ก เผยปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส อึ้ง! ซุปก้อนโซเดียมพุ่งถึง 2,600 มิลลิกรัม เกินกว่าที่ร่างกายควรรับแต่ละวัน
อึ้ง! ซุปก้อนมีโซเดียมเกินร่างกายควรรับ แนะลดเค็มแต่เด็กได้ผลถึงแก่
ภาพจาก www.l3nr.org
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า โซเดียมมีความสำคัญต่อร่างกายโดยทำหน้าที่ส่งสัญญาณในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่หากบริโภคโซเดียมมากเกินไป ทำให้ไตขับออกได้ไม่หมด โซเดียมก็จะคั่ง ดึงน้ำไว้ในร่างกายมาก ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เร่งให้ไตเสื่อมลง เกิดภาวะไตวาย และยังทำให้ขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน คือ 1 ช้อนชา เทียบเท่าปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม ดังนั้น พฤติกรรมลดการกินเค็มควรปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นจะมีผลต่อรูปแบบการกินอาหารไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการกินอาหารรสเค็มจัดตั้งแต่เด็ก มีผลต่อความดันโลหิต และอาจส่งผลต่อโรคต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคอ้วน และนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
นพ.พรเทพ กล่าวว่า รสเค็มในอาหารมาจากเครื่องปรุง เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงควรเริ่มจากการลดการกินอาหารรสเค็มจัด ลดการปรุงเครื่องปรุงที่มีเกลือ หรือ โซเดียมสูง และลดการกินน้ำจิ้มต่างๆ โดยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียนต้องมีการเฝ้าระวังและสนับสนุนการบริโภคอาหารเช้า กลางวัน และ เย็น ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และต้องไม่มีโซเดียมมากเกินไป ซึ่งการบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยเน้น ลดหวาน มัน เค็ม และเพิ่มการกินผัก ผลไม้สด ร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
“ทั้งนี้ จากข้อมูลการเฝ้าระวังติดตามการเจริญเติบโตในเด็กนักเรียนอายุ 6 - 12 ปี จำนวน 1,492,089 คน จาก 76 จังหวัด ของกรมอนามัย ปี 2555 พบว่า นักเรียนมีภาวะอ้วน จำนวน 187,000 คน เตี้ย จำนวน 254,620 คน และผอม จำนวน 99,112 คน สาเหตุสำคัญส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เด็กวัยเรียนมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปี และผลการวิจัยหลายแหล่งพบว่าเด็กที่เป็นโรคอ้วน 1 ใน 3 จะเป็นผู้ใหญ่อ้วน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
สำหรับปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส พบว่า เกลือ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม เต้าเจี้ยว 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,995 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,500 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,260 มิลลิกรัม น้ำจิ้มสุกี้ 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 600 มิลลิกรัม ซุปก้อน 1 ก้อน มีโซเดียม 2,600 มิลลิกรัม น้ำปู 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 2,115 มิลลิกรัม ปลาร้า 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม1,650 มิลลิกรัม ไตปลา 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 2,580 มิลลิกรัม ไข่เค็ม 1ฟอง มีโซเดียม 480 มิลลิกรัม และผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 600 มิลลิกรัม
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 24 มีนาคม 2558
กรมอนามัยชี้ กินเค็มแต่เด็ก ส่งผลกินเค็มจนแก่ เสี่ยงโรคเรื้อรัง ทั้งไตวาย ความดันสูง กระดูกพรุน แนะฝึกเด็กลดกินเค็มแต่เด็ก เผยปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส อึ้ง! ซุปก้อนโซเดียมพุ่งถึง 2,600 มิลลิกรัม เกินกว่าที่ร่างกายควรรับแต่ละวัน
อึ้ง! ซุปก้อนมีโซเดียมเกินร่างกายควรรับ แนะลดเค็มแต่เด็กได้ผลถึงแก่
ภาพจาก www.l3nr.org
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า โซเดียมมีความสำคัญต่อร่างกายโดยทำหน้าที่ส่งสัญญาณในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่หากบริโภคโซเดียมมากเกินไป ทำให้ไตขับออกได้ไม่หมด โซเดียมก็จะคั่ง ดึงน้ำไว้ในร่างกายมาก ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เร่งให้ไตเสื่อมลง เกิดภาวะไตวาย และยังทำให้ขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน คือ 1 ช้อนชา เทียบเท่าปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม ดังนั้น พฤติกรรมลดการกินเค็มควรปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นจะมีผลต่อรูปแบบการกินอาหารไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการกินอาหารรสเค็มจัดตั้งแต่เด็ก มีผลต่อความดันโลหิต และอาจส่งผลต่อโรคต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคอ้วน และนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
นพ.พรเทพ กล่าวว่า รสเค็มในอาหารมาจากเครื่องปรุง เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงควรเริ่มจากการลดการกินอาหารรสเค็มจัด ลดการปรุงเครื่องปรุงที่มีเกลือ หรือ โซเดียมสูง และลดการกินน้ำจิ้มต่างๆ โดยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียนต้องมีการเฝ้าระวังและสนับสนุนการบริโภคอาหารเช้า กลางวัน และ เย็น ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และต้องไม่มีโซเดียมมากเกินไป ซึ่งการบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยเน้น ลดหวาน มัน เค็ม และเพิ่มการกินผัก ผลไม้สด ร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
“ทั้งนี้ จากข้อมูลการเฝ้าระวังติดตามการเจริญเติบโตในเด็กนักเรียนอายุ 6 - 12 ปี จำนวน 1,492,089 คน จาก 76 จังหวัด ของกรมอนามัย ปี 2555 พบว่า นักเรียนมีภาวะอ้วน จำนวน 187,000 คน เตี้ย จำนวน 254,620 คน และผอม จำนวน 99,112 คน สาเหตุสำคัญส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เด็กวัยเรียนมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปี และผลการวิจัยหลายแหล่งพบว่าเด็กที่เป็นโรคอ้วน 1 ใน 3 จะเป็นผู้ใหญ่อ้วน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
สำหรับปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส พบว่า เกลือ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม เต้าเจี้ยว 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,995 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,500 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 1,260 มิลลิกรัม น้ำจิ้มสุกี้ 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 600 มิลลิกรัม ซุปก้อน 1 ก้อน มีโซเดียม 2,600 มิลลิกรัม น้ำปู 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 2,115 มิลลิกรัม ปลาร้า 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม1,650 มิลลิกรัม ไตปลา 1 ช้อนกินข้าว มีโซเดียม 2,580 มิลลิกรัม ไข่เค็ม 1ฟอง มีโซเดียม 480 มิลลิกรัม และผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 600 มิลลิกรัม
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 24 มีนาคม 2558