บลจ.กรุงศรีรุกขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 3.3 แสนล้าน

Post Reply
brid.ladawan
Posts: 7045
Joined: 29 Mar 2013, 13:36

บลจ.กรุงศรีรุกขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 3.3 แสนล้าน

Post by brid.ladawan »

บลจ.กรุงศรีรุกขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 3.3 แสนล้าน

บลจ.กรุงศรีรุกขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 3.3 แสนล้าน
บลจ.กรุงศรีตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 3.3 แสนล้าน รุกขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่ายธนาคาร มองการลงทุนในไทยไม่สดใส เศรษฐกิจขยายตัวต่ำมาก แนะการลงทุนต่างประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ที่ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันต่ำ และการอัดฉีดสภาพคล่อง

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า ในปี 2557 ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมาก มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ของอุตสาหกรรม และทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารโดยรวมเติบโต 37% ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการเติบโต 20% และในปีที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) ที่เป็นกองทุนหุ้นทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) ที่มีขนาดกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มกองทุน LTF ขณะที่ภาพรวมของกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุนตราสารหนี้ มีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด ทำให้กองทุนหุ้นมีอัตราการเติบโต 50% กองทุน LTF มีอัตราการเติบโต 51% กองทุนตราสารหนี้ มีอัตราการเติบโต 48% นอกจากนี้บริษัทยังมีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น 31% และในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 3.3 แสนล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 22% จากสิ้นปี 2557 ที่อยู่ระดับ 2.7 แสนล้านบาท โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งเน้นการขยายลูกค้าผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารกรุงศรี 654 สาขาทั่วประเทศ และหาโอกาสและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า

นายไบรอัน ตัน ผู้บริหารระดับสูงของเจพีมอร์แกน แอสเสทแมเนจเมนต์ กล่าวว่า เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันที่การขยายตัวของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การกระจายการลงทุนและการบริหารการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเจพี มอร์แกน ได้ร่วมมือกับ บลจ.กรุงศรี ในการเพิ่มโอกาสการลงทุนในต่างประเทศให้แก่นักลงทุนไทยผ่านกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทยและนำเงินไปลงทุนในกองทุนของเจพีมอร์แกนที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยมีมุมมองทางเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง โดยเฉพาะประเทศที่นำเข้าน้ำมัน แม้ประเทศที่ส่งออกก็ได้รับผลกระทบ แต่โดยรวมแล้วทำให้เศรษฐกิจโลกมีการเติบโต ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป แต่จะเป็นการขึ้นอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อขึ้นดอกเบี้ยอาจจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจได้

ขณะที่เศรษฐกิจยุโรป การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางยุโรปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบและกระตุ้นการบริโภคทำให้มีเงินจำนวนมากในตลาดโลกและเป็นผลดีต่อการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นยุโรปจะคงภาวะเช่นนี้ไปอีก 2-3 ปี ส่วนตลาดเอเชียนั้น ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นผลดีต่อประเทศที่ส่งออก แต่ก็มีปัจจัยที่กระทบคือเรื่องค่าเงินที่มีการเปลี่ยน

“โดยรวมแล้วการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ โดยตลาดที่น่าสนใจคือ สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน รองลงมาคือยุโรปที่ยังมีมุมมองที่เป็นบวกจากการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ทำให้บริษัทจดทะเบียนในยุโรปในปีนี้คาดว่าจะโตที่ 9% ส่วนตลาดเกิดใหม่ราคาหุ้นถูกแต่ต้องดูเป็นบางประเทศ”

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2558 มองว่ายอดส่งออกจะขยายตัวในระดับต่ำมากจากปัจจัยความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไป ยังมีเรื่องของการย้ายฐานการผลิต และการถูกตัด GSP สำหรับการบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะยังคงอ่อนแอ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับต่ำ และหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต่างๆ มีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับรายจ่ายในอนาคต ในส่วนของการลงทุนของภาคเอกชนยังคงรอดูความชัดเจนจากภาครัฐ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จะเริ่มได้เมื่อไหร่ ส่งผลให้แรงกระตุ้นจากภาครัฐยังไม่พอที่จะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเร็วๆ นี้

“เมื่อมองในภาพรวมแล้ว คาดว่าบรรยากาศเศรษฐกิจในปีนี้จะยังคงดูไม่สดใสนัก เพราะปัจจัยขับเคลื่อนหลักทั้งการส่งออก และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะให้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงต้องรอระยะเวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินล่าสุดมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.75% จากระดับเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่น”

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 24 มีนาคม 2558
Post Reply

Return to “แจ้งข่าว ไทย ERP และข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ”