“สรรพากร” หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น กังวลต
Posted: 25 Mar 2015, 10:35
“สรรพากร” หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น กังวลตั้งหน่วยงานอิสระ
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“สรรพากร” หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น กังวลตั้งหน่วยงานอิสระ
อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงต่อ กมธ.เศรษฐกิจ เห็นด้วยยกร่างรัฐธรรมนูญ หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น ยอมรับกังวลการแยกหน่วยจัดเก็บภาษีเป็นอิสระ
นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เชิญ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีหลายด้าน ขณะนี้ กรมสรรพากรกำลังศึกษาการลดหย่อนภาษีหลายรายการ เพราะปัจจุบันมีการลดหย่อนกว่า 20 รายการ เช่น เบี้ยประกันชีวิต, เงินซื้อกองทุน LTF, RMF และการกำหนดค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา เพราะปัจจุบันกำหนดให้บุคคลธรรมดามีรายได้ 150,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี เมื่อคำนวณรวมกับค่าลดหย่อนต่างๆ จะมีค่าลดหย่อนประมาณ 24,000 บาท เท่ากับผู้มีรายได้ 20,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี จึงต้องศึกษาค่าลดหย่อนต่างๆ ให้เป็นจริงมากที่สุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร เพราะการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเป็นผลประกอบการของปี 2557 แต่การเสียภาษีครึ่งปีหลังเดือนสิงหาคม จะสะท้อนเศรษฐกิจปีนี้มากขึ้น จึงมองว่าอาจดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยภายนอก คือ การลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากร 2,000 รายการ ภาษีปิโตรเลียม และการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลปีที่ผ่านมา จึงเสนอปรับลดเป้าหมายการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรจาก 1.96 ล้านล้านบาท เหลือ 1.79 ล้านล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องต่อความเป็นจริง
นายประสงค์ เห็นด้วยต่อข้อเสนอในการกำหนดร่างรัฐธรรมนูญด้วยการให้ทุกคนยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี แม้จะมีรายได้ไม่ถึงกำหนดต้องเสียภาษี เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลการจัดเก็บภาษี โดยเป็นแบบ ภงด.แบบง่าย เพื่อให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย และเห็นด้วยต่อแนวทางการแยกฐานจัดเก็บภาษีในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่กังวลเกี่ยวกับการแยกงบประมาณ 2 ขา ในรัฐธรรมนูญ เพราะนอกจากกำหนด พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายแล้ว ยังต้องเสนอร่าง พ.ร.บ.รายรับ และกำหนดเป้าหมายการจัดเก็บภาษีในร่างงบประมาณแต่ละปี เพื่อระบุแหล่งที่มาของเงิน ทั้งจากเงินกู้ รายได้ภาษี นำไปสู่การชำระหนี้จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เพราะหากกำหนดชัดเจนในรัฐธรรมนูญอาจกระทบต่อการกู้เงินสำหรับโครงการด้านสังคม เช่น สวนสัตว์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพราะจะไม่ได้ผลคืนเป็นเงิน แต่ได้ประโยชน์ในเรื่องความรู้ รวมถึงการสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ เพราะต้องดูแลควบคุมค่าโดยสารไม่ให้สูงมาก จึงมีรายได้ผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่เป็นประโยชน์การเดินทางของประชาชน ความเจริญตามมาจากเส้นทางรถไฟฟ้า การไม่ต้องอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ เพราะเดินทางไปมาสะดวก จึงทำให้การกู้เงินดังกล่าวขัดแย้งต่อผลตอบแทนเชิงตัวเลข
ส่วนข้อเสนอการแยกหน่วยงานจัดเก็บภาษีเป็นอิสระ ทั้งกรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เหมือนกับบางประเทศนั้น มองว่าเป็นโครงสร้างที่ดี เพราะลดการแทรกแซงทางการเมือง และกำหนดเวลาดำรงตำแหน่งผู้บริหาร มีความคล่องตัวในการบริหารงาน แต่มองว่าสภาพของไทยยังไม่เหมาะต่อโครงสร้างดังกล่าว เหมือนกับนำรถสปอร์ตมาครอบไว้ในรถตุ๊กตุ๊ก จะทำให้วิ่งล่าช้า จึงควรรอไว้อีกระยะหนึ่ง ส่วนข้อเสนอการตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน การคลัง และระบบภาษีแห่งชาตินั้น มองว่าอำนาจในการกำกับดูแลเป็นของกระทรวงการคลังอยู่แล้ว หากตั้งขึ้นมาอาจมีความซ้ำซ้อน และมีปัญหาแนวทางปฏิบัติได้
สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีโดยรวมเกือบถึงร้อยละ 90 ของผู้เสียภาษีทั้งหมด โดยรายได้ของบุคคลธรรมดาสูงกว่าปีก่อน 4,000-5,000 ล้านบาท เป็นการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 70 จึงแนะนำให้ประชาชนยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต เพราะจะยืดระยะเวลาออกไปอีก 8 วันทำการหลังครบกำหนดสิ้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากร ยังต้องเร่งรัดหาทางอุดช่องโหว่การหลีกเลี่ยงภาษีให้น้อยลง และยืนยันจะไม่มีการเสนอให้นิรโทษกรรมภาษี เพราะเคยเสนอให้นิรโทษกรรมภาษีไปแล้ว 5 ครั้ง แต่ยังมีการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคล 600,000 ราย อยู่ในระบบสรรพากร 400,000 ราย อีก 200,000 ราย อยู่นอกระบบ เพราะมีการจดทะเบียนครั้งเดียวส่งออกสินค้าแล้วหายไป การขอจดทะเบียนเพื่อขอคืนภาษีเป็นเท็จ จึงมีการรั่วไหลอีกหลายด้านต้องปรับปรุง
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 24 มีนาคม 2558
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“สรรพากร” หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น กังวลตั้งหน่วยงานอิสระ
อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงต่อ กมธ.เศรษฐกิจ เห็นด้วยยกร่างรัฐธรรมนูญ หนุนแยกจัดเก็บรายได้ระดับชาติออกจากท้องถิ่น ยอมรับกังวลการแยกหน่วยจัดเก็บภาษีเป็นอิสระ
นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เชิญ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีหลายด้าน ขณะนี้ กรมสรรพากรกำลังศึกษาการลดหย่อนภาษีหลายรายการ เพราะปัจจุบันมีการลดหย่อนกว่า 20 รายการ เช่น เบี้ยประกันชีวิต, เงินซื้อกองทุน LTF, RMF และการกำหนดค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา เพราะปัจจุบันกำหนดให้บุคคลธรรมดามีรายได้ 150,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี เมื่อคำนวณรวมกับค่าลดหย่อนต่างๆ จะมีค่าลดหย่อนประมาณ 24,000 บาท เท่ากับผู้มีรายได้ 20,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี จึงต้องศึกษาค่าลดหย่อนต่างๆ ให้เป็นจริงมากที่สุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร เพราะการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเป็นผลประกอบการของปี 2557 แต่การเสียภาษีครึ่งปีหลังเดือนสิงหาคม จะสะท้อนเศรษฐกิจปีนี้มากขึ้น จึงมองว่าอาจดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยภายนอก คือ การลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากร 2,000 รายการ ภาษีปิโตรเลียม และการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลปีที่ผ่านมา จึงเสนอปรับลดเป้าหมายการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรจาก 1.96 ล้านล้านบาท เหลือ 1.79 ล้านล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องต่อความเป็นจริง
นายประสงค์ เห็นด้วยต่อข้อเสนอในการกำหนดร่างรัฐธรรมนูญด้วยการให้ทุกคนยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี แม้จะมีรายได้ไม่ถึงกำหนดต้องเสียภาษี เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลการจัดเก็บภาษี โดยเป็นแบบ ภงด.แบบง่าย เพื่อให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย และเห็นด้วยต่อแนวทางการแยกฐานจัดเก็บภาษีในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่กังวลเกี่ยวกับการแยกงบประมาณ 2 ขา ในรัฐธรรมนูญ เพราะนอกจากกำหนด พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายแล้ว ยังต้องเสนอร่าง พ.ร.บ.รายรับ และกำหนดเป้าหมายการจัดเก็บภาษีในร่างงบประมาณแต่ละปี เพื่อระบุแหล่งที่มาของเงิน ทั้งจากเงินกู้ รายได้ภาษี นำไปสู่การชำระหนี้จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เพราะหากกำหนดชัดเจนในรัฐธรรมนูญอาจกระทบต่อการกู้เงินสำหรับโครงการด้านสังคม เช่น สวนสัตว์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพราะจะไม่ได้ผลคืนเป็นเงิน แต่ได้ประโยชน์ในเรื่องความรู้ รวมถึงการสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ เพราะต้องดูแลควบคุมค่าโดยสารไม่ให้สูงมาก จึงมีรายได้ผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่เป็นประโยชน์การเดินทางของประชาชน ความเจริญตามมาจากเส้นทางรถไฟฟ้า การไม่ต้องอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ เพราะเดินทางไปมาสะดวก จึงทำให้การกู้เงินดังกล่าวขัดแย้งต่อผลตอบแทนเชิงตัวเลข
ส่วนข้อเสนอการแยกหน่วยงานจัดเก็บภาษีเป็นอิสระ ทั้งกรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เหมือนกับบางประเทศนั้น มองว่าเป็นโครงสร้างที่ดี เพราะลดการแทรกแซงทางการเมือง และกำหนดเวลาดำรงตำแหน่งผู้บริหาร มีความคล่องตัวในการบริหารงาน แต่มองว่าสภาพของไทยยังไม่เหมาะต่อโครงสร้างดังกล่าว เหมือนกับนำรถสปอร์ตมาครอบไว้ในรถตุ๊กตุ๊ก จะทำให้วิ่งล่าช้า จึงควรรอไว้อีกระยะหนึ่ง ส่วนข้อเสนอการตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน การคลัง และระบบภาษีแห่งชาตินั้น มองว่าอำนาจในการกำกับดูแลเป็นของกระทรวงการคลังอยู่แล้ว หากตั้งขึ้นมาอาจมีความซ้ำซ้อน และมีปัญหาแนวทางปฏิบัติได้
สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีโดยรวมเกือบถึงร้อยละ 90 ของผู้เสียภาษีทั้งหมด โดยรายได้ของบุคคลธรรมดาสูงกว่าปีก่อน 4,000-5,000 ล้านบาท เป็นการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 70 จึงแนะนำให้ประชาชนยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต เพราะจะยืดระยะเวลาออกไปอีก 8 วันทำการหลังครบกำหนดสิ้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากร ยังต้องเร่งรัดหาทางอุดช่องโหว่การหลีกเลี่ยงภาษีให้น้อยลง และยืนยันจะไม่มีการเสนอให้นิรโทษกรรมภาษี เพราะเคยเสนอให้นิรโทษกรรมภาษีไปแล้ว 5 ครั้ง แต่ยังมีการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคล 600,000 ราย อยู่ในระบบสรรพากร 400,000 ราย อีก 200,000 ราย อยู่นอกระบบ เพราะมีการจดทะเบียนครั้งเดียวส่งออกสินค้าแล้วหายไป การขอจดทะเบียนเพื่อขอคืนภาษีเป็นเท็จ จึงมีการรั่วไหลอีกหลายด้านต้องปรับปรุง
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 24 มีนาคม 2558