‘เปปเปอร์’ เร่งสร้างความเชื่อมั่นอี-คอมเมิร์ซไทย
Posted: 18 Apr 2015, 10:28
‘เปปเปอร์’ เร่งสร้างความเชื่อมั่นอี-คอมเมิร์ซไทย
“เปปเปอร์” อดีตนักร้องดังวง ยูเอชที ที่ย้ายจาก ไลน์ ประเทศไทย มาบริหารงานในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ให้กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ.
กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งสำหรับ ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต หรือ “เปปเปอร์” อดีตนักร้องดังวง ยูเอชที ที่ย้ายจาก ไลน์ ประเทศไทย มาบริหารงานในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ให้กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ.
ถึงแม้จะยังคงวนเวียนอยู่กับสายไอทีแต่การปรับเปลี่ยนบทบาทผู้บริหารครั้งนี้ถือว่าสร้างความแปลกใจมากตรงที่เปลี่ยนจากผู้บริหารเอกชนมาบริหารงานรัฐบาล คว้าสูทผูกเนกไทแล้วแขวนกางเกงยีน
ดร.รัฐศาสตร์ เล่าว่า ถือเป็นการปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานมาตลอด 20 ปี เหตุผลหลัก 3 เหตุผล ที่ทำให้ตัดสินใจพลิกบทบาทบริหารงานเอกชนมาบริหารงานภาครัฐคือ คุณพ่อและครอบครัวรับราชการ ตนจึงอยากจะทำงานในส่วนของราชการเพื่อรับใช้ประชาชน ถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์ด้วย อีกเหตุผลคือ ความเชื่อมั่นในตัวของ สพธอ. และผู้นำ “พี่แอน-สุรางคณา วายุภาพ” ผู้อำนวยการ สพธอ.ซึ่งส่วนตัวก่อนหน้านี้เป็นคนนอก ได้เห็นความแข็งแกร่งและการขับเคลื่อนที่รวดเร็วทั้งการขับเคลื่อนกฎหมาย อำนาจความรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนสายงานภาครัฐนั้น สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ การปรับตัวในส่วนของการเดินเอกสาร เพราะระเบียบทางราชการมีขั้นตอนการอนุมัติที่ต้องใช้ระยะเวลา ต้องผ่านการตรวจสอบ โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการที่ต้องใช้งบประมาณที่สูง เพราะถือเป็นภาษีประชาชน ซึ่งประเด็นการเดินเรื่องเอกสารถือเป็นประเด็นที่ สพธอ.เล็งเห็นและต้องการให้มีความรวดเร็วขึ้น
ดร.รัฐศาสตร์ เล่าต่อว่า สำหรับบทบาทหน้าที่หลักที่ได้รับผิดชอบใน สพธอ.คือการผลักดัน ส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ในประเทศไทยที่ควรจะเติบโตกว่าปัจจุบันให้มีการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจให้กับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อด้วยความมั่นคง ปลอดภัย กล้าซื้อและกล้าขาย และกล้าทำธุรกิจมากขึ้น
“เชื่อว่าวินาทีนี้ เราต้องรวดเร็วโดยเฉพาะเรื่องของดิจิตอล เพราะประเทศเพื่อนบ้านเราไปเร็วมากแล้ว ถ้ายังช้าอยู่จะไม่ทันเพื่อนบ้าน สพธอ.อยู่ระหว่างการทำ กรีน อี-คอมเมิร์ซ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย” ดร.รัฐศาสตร์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย พบว่า คนไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเพียงแค่ 4 พันบาทต่อครั้ง ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอเมริกาที่ผู้ซื้อกล้าที่จะซื้อสินค้าออนไลน์ในหลักหมื่นบาท แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคนไทยไม่กล้าที่จะซื้อของผ่านระบบออนไลน์ เพราะคิดว่าหากตัดสินใจซื้อสินค้าในราคาที่สูงเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะติดต่อกับใคร หรืออาจจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลทำให้เสียเวลาจึงไม่อยากซื้อเพื่อตัดปัญหา
ดังนั้น เพื่อป้องกันในส่วนของปัญหาดังกล่าว สพธอ.จึงตั้งเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางเพื่อหาพันธมิตรที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์ลิงก์กับเว็บไซต์ของ สพธอ.ในชื่อ Thaiemarket. com ศูนย์กลางผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซไทย โดย สพธอ.จะมอบโลโก้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ และพันธมิตรทุกรายจะต้องผ่านการตรวจสอบเว็บไซต์ สินค้า และคุณสมบัติอื่น ๆ จาก สพธอ.ก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเอกชนทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับ สพธอ.แล้วกว่า 100 เว็บไซต์ หลังจากเปิดเว็บไซต์ไปเมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นเว็บไซต์ประเภทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เอสเอ็มอี โอทอป เป็นต้น ทั้งนี้ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีพันธมิตรที่ผ่านการคัดเลือกจาก สพธอ.กว่า 500 เว็บไซต์
“เราไม่รู้ว่าพันธมิตรที่ร่วมกับเรามีการซื้อขายกันมากน้อยเพียงใด เราเป็นเพียงศูนย์กลางที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของพันธมิตร
ต่าง ๆ ที่ผู้ซื้อสามารถเข้ามาดูร้านค้าพันธมิตรผ่านเว็บไซต์ Thaiemarket.com ซึ่ง สพธอ.นอกจากจะเป็นศูนย์กลางให้พันธมิตรแล้วยังให้คำแนะนำกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง”
สิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าการซื้อขายอี-คอมเมิร์ซให้กับสินค้าประเทศไทยคือ สพธอ.จะตั้งศูนย์ระงับข้อพิพาททางออนไลน์ เพราะผู้ซื้อจะมั่นใจว่าหากซื้อสินค้าผ่านพันธมิตรของ Thaiemarket.com เมื่อมีปัญหา สพธอ.จะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยหรือเข้าสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลให้ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาและขอคำปรึกษาผ่านออนไลน์ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2556 อยู่ที่ราว 744 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก จากการวัดจีดีพีเศรษฐกิจประเทศไทย หากประชาชนประเทศไทยสามารถเข้าถึงอินเทอร์ เน็ตได้ 10% จะสามารถเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้ 1% ซึ่งการที่รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ ดิจิตอล โดยเฉพาะการปูโครงสร้างพื้นฐานประเทศทำให้ประชาชน ทั่วประเทศไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั้งประเทศก็จะสามารถเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้อีกมหาศาล
ทั้งนี้ อยากให้มีการทำงานแบบบูรณาการทั้งภาครัฐกับเอกชน เพราะปัจจุบันรัฐบาลต้องเปลี่ยนเป็นยุคใหม่ที่ไม่ต้องไปแข่งขันกับเอกชน ควรใช้ทรัพยากรประเทศให้ถูกต้อง ไม่ควรลงทุนซ้ำซ้อน รัฐควรเป็นตัวผลักดันให้เอกชนกับรัฐสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้
หากนับระยะเวลาที่ “ดร.รัฐศาสตร์” มานั่งบริหารงานที่ สพธอ.กลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถือเป็นเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ด้วยความตั้งใจผลักดันธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยให้เติบโต จะต้องอาศัยแรงผลักดันหลายสิ่ง
แต่สิ่งสำคัญสุดคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย รัฐบาลจะต้องวางรากฐานความมั่นคงในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซให้รอบด้าน โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัย.
กัญณัฏฐ์ บุตรดี
Kankanat25@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 15 เมษายน 2558
“เปปเปอร์” อดีตนักร้องดังวง ยูเอชที ที่ย้ายจาก ไลน์ ประเทศไทย มาบริหารงานในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ให้กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ.
กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งสำหรับ ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต หรือ “เปปเปอร์” อดีตนักร้องดังวง ยูเอชที ที่ย้ายจาก ไลน์ ประเทศไทย มาบริหารงานในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ให้กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ.
ถึงแม้จะยังคงวนเวียนอยู่กับสายไอทีแต่การปรับเปลี่ยนบทบาทผู้บริหารครั้งนี้ถือว่าสร้างความแปลกใจมากตรงที่เปลี่ยนจากผู้บริหารเอกชนมาบริหารงานรัฐบาล คว้าสูทผูกเนกไทแล้วแขวนกางเกงยีน
ดร.รัฐศาสตร์ เล่าว่า ถือเป็นการปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานมาตลอด 20 ปี เหตุผลหลัก 3 เหตุผล ที่ทำให้ตัดสินใจพลิกบทบาทบริหารงานเอกชนมาบริหารงานภาครัฐคือ คุณพ่อและครอบครัวรับราชการ ตนจึงอยากจะทำงานในส่วนของราชการเพื่อรับใช้ประชาชน ถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์ด้วย อีกเหตุผลคือ ความเชื่อมั่นในตัวของ สพธอ. และผู้นำ “พี่แอน-สุรางคณา วายุภาพ” ผู้อำนวยการ สพธอ.ซึ่งส่วนตัวก่อนหน้านี้เป็นคนนอก ได้เห็นความแข็งแกร่งและการขับเคลื่อนที่รวดเร็วทั้งการขับเคลื่อนกฎหมาย อำนาจความรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนสายงานภาครัฐนั้น สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ การปรับตัวในส่วนของการเดินเอกสาร เพราะระเบียบทางราชการมีขั้นตอนการอนุมัติที่ต้องใช้ระยะเวลา ต้องผ่านการตรวจสอบ โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการที่ต้องใช้งบประมาณที่สูง เพราะถือเป็นภาษีประชาชน ซึ่งประเด็นการเดินเรื่องเอกสารถือเป็นประเด็นที่ สพธอ.เล็งเห็นและต้องการให้มีความรวดเร็วขึ้น
ดร.รัฐศาสตร์ เล่าต่อว่า สำหรับบทบาทหน้าที่หลักที่ได้รับผิดชอบใน สพธอ.คือการผลักดัน ส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ในประเทศไทยที่ควรจะเติบโตกว่าปัจจุบันให้มีการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจให้กับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อด้วยความมั่นคง ปลอดภัย กล้าซื้อและกล้าขาย และกล้าทำธุรกิจมากขึ้น
“เชื่อว่าวินาทีนี้ เราต้องรวดเร็วโดยเฉพาะเรื่องของดิจิตอล เพราะประเทศเพื่อนบ้านเราไปเร็วมากแล้ว ถ้ายังช้าอยู่จะไม่ทันเพื่อนบ้าน สพธอ.อยู่ระหว่างการทำ กรีน อี-คอมเมิร์ซ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย” ดร.รัฐศาสตร์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย พบว่า คนไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเพียงแค่ 4 พันบาทต่อครั้ง ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอเมริกาที่ผู้ซื้อกล้าที่จะซื้อสินค้าออนไลน์ในหลักหมื่นบาท แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคนไทยไม่กล้าที่จะซื้อของผ่านระบบออนไลน์ เพราะคิดว่าหากตัดสินใจซื้อสินค้าในราคาที่สูงเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะติดต่อกับใคร หรืออาจจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลทำให้เสียเวลาจึงไม่อยากซื้อเพื่อตัดปัญหา
ดังนั้น เพื่อป้องกันในส่วนของปัญหาดังกล่าว สพธอ.จึงตั้งเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางเพื่อหาพันธมิตรที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์ลิงก์กับเว็บไซต์ของ สพธอ.ในชื่อ Thaiemarket. com ศูนย์กลางผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซไทย โดย สพธอ.จะมอบโลโก้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ และพันธมิตรทุกรายจะต้องผ่านการตรวจสอบเว็บไซต์ สินค้า และคุณสมบัติอื่น ๆ จาก สพธอ.ก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเอกชนทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับ สพธอ.แล้วกว่า 100 เว็บไซต์ หลังจากเปิดเว็บไซต์ไปเมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นเว็บไซต์ประเภทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เอสเอ็มอี โอทอป เป็นต้น ทั้งนี้ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีพันธมิตรที่ผ่านการคัดเลือกจาก สพธอ.กว่า 500 เว็บไซต์
“เราไม่รู้ว่าพันธมิตรที่ร่วมกับเรามีการซื้อขายกันมากน้อยเพียงใด เราเป็นเพียงศูนย์กลางที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของพันธมิตร
ต่าง ๆ ที่ผู้ซื้อสามารถเข้ามาดูร้านค้าพันธมิตรผ่านเว็บไซต์ Thaiemarket.com ซึ่ง สพธอ.นอกจากจะเป็นศูนย์กลางให้พันธมิตรแล้วยังให้คำแนะนำกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง”
สิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มมูลค่าการซื้อขายอี-คอมเมิร์ซให้กับสินค้าประเทศไทยคือ สพธอ.จะตั้งศูนย์ระงับข้อพิพาททางออนไลน์ เพราะผู้ซื้อจะมั่นใจว่าหากซื้อสินค้าผ่านพันธมิตรของ Thaiemarket.com เมื่อมีปัญหา สพธอ.จะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยหรือเข้าสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลให้ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาและขอคำปรึกษาผ่านออนไลน์ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2556 อยู่ที่ราว 744 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก จากการวัดจีดีพีเศรษฐกิจประเทศไทย หากประชาชนประเทศไทยสามารถเข้าถึงอินเทอร์ เน็ตได้ 10% จะสามารถเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้ 1% ซึ่งการที่รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ ดิจิตอล โดยเฉพาะการปูโครงสร้างพื้นฐานประเทศทำให้ประชาชน ทั่วประเทศไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั้งประเทศก็จะสามารถเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้อีกมหาศาล
ทั้งนี้ อยากให้มีการทำงานแบบบูรณาการทั้งภาครัฐกับเอกชน เพราะปัจจุบันรัฐบาลต้องเปลี่ยนเป็นยุคใหม่ที่ไม่ต้องไปแข่งขันกับเอกชน ควรใช้ทรัพยากรประเทศให้ถูกต้อง ไม่ควรลงทุนซ้ำซ้อน รัฐควรเป็นตัวผลักดันให้เอกชนกับรัฐสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้
หากนับระยะเวลาที่ “ดร.รัฐศาสตร์” มานั่งบริหารงานที่ สพธอ.กลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถือเป็นเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ด้วยความตั้งใจผลักดันธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยให้เติบโต จะต้องอาศัยแรงผลักดันหลายสิ่ง
แต่สิ่งสำคัญสุดคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย รัฐบาลจะต้องวางรากฐานความมั่นคงในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซให้รอบด้าน โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัย.
กัญณัฏฐ์ บุตรดี
Kankanat25@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 15 เมษายน 2558