เครือ ‘ดุสิต‘ ขยาย 62 แห่งทั่วโลก เผยต่างชาติชอบบริการคนไทย
Posted: 18 May 2015, 13:57
เครือ ‘ดุสิต‘ ขยาย 62 แห่งทั่วโลก เผยต่างชาติชอบบริการคนไทย
‘ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล’ ประกาศก้อง โรงแรมไทยไปทั่วโลก 62 แห่ง เผยต่างชาติชอบการบริการของคนไทย ชี้สถานการณ์โรงแรมในประเทศดีขึ้น แต่ขึ้นราคาไม่ได้มา 8 ปี ขณะที่เพื่อนบ้านรอบประเทศขึ้นหมดแล้ว 100-300%...
วันที่ 18 พ.ค.58 นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของโรงแรมสัญชาติไทยในต่างประเทศว่า ขณะนี้มี 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ดุสิต กรุ๊ป ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มเซ็นทารา และเครือออนิกซ์ ซึ่งมีทั้งไปลงทุนและรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศที่ชื่นชอบชื่อเสียงการบริหารและการให้บริการของคนไทย แตกต่างจากญี่ปุ่น และจีนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องการลงทุนหรือบริหารโรงแรมในต่างประเทศ ส่วนสิงคโปร์และฮ่องกงก็ถือว่าเป็นประเทศที่ทำธุรกิจนี้ในต่างประเทศได้ดี
สำหรับดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ตในเครือรวม 4 แบรนด์ คือ ดุสิตธานี ดุสิตดีทู ดุสิตปริ๊นเซส และดุสิตเดวาราณา รวมถึงดำเนินธุรกิจ ดุสิตเรสซิเดนท์ และเทวารัณย์ สปา นับจากวันแรกที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศฟิลิปปินส์ จนถึงปัจจุบันมีโรงแรม และรีสอร์ต ในเครือดุสิต 25 แห่ง โดยอยู่ในประเทศไทย 12 แห่ง และต่างประเทศ 13 แห่ง เช่น ในเมืองดูไบ เมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมืองหางโจว ประเทศจีน เกาะมัลดีฟท์ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมืองไนโรบี ประเทศเคนยา และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 25 แห่ง
พร้อมกันนี้ มีโรงแรมและรีสอร์ตกำลังจะเปิดให้บริการในต่างประเทศอีก 30 แห่ง โดยอยู่ในจีน 14 แห่ง นอกนั้นกระจายในหลายประเทศเช่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เวียดนาม สิงคโปร์ เกาะกวม สหรัฐอเมริกา ภูฏาน อินเดีย กาตาร์ และตูนิเซีย อีกทั้งมีโรงแรมและรีสอร์ตที่อยู่ในแผนการพัฒนาในต่างประเทศอีก 14 แห่ง
"ล่าสุดผมได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมในภูมิภาคเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง คือ ดุสิตธานี เจดดาห์ ในซาอุดีอาระเบีย และ ดุสิต ดีทู ซัลวา โดฮา ในกาตาร์ มีกำหนดเปิดพร้อมกันในปี 2561 และอีก 3 แห่งในสหรัฐฯ อาหรับเอมิเรตส์ จะเปิดภายในปี 2559 ได้แก่ ดุสิตธานี เรสซิเดนส์ ดูไบ มารีน่า โรงแรมดุสิต ดีทู เทคอม ดูไบ และดุสิต ดีทู เรสซิเดนส์ อัล แมนเซล อาบูดาบี ทำให้มีโรงแรมที่กำลังจะเปิดให้บริการรวม 35 แห่ง"
ฉะนั้น ถ้ารวมโรงแรมของเครือดุสิตในต่างประเทศทั้งที่มีอยู่แล้ว 13 แห่ง ทั้งที่กำลังจะเปิดให้บริการ 35 แห่ง และที่อยู่ในแผนการพัฒนา 14 แห่ง จะมีทั้งสิ้น 62 แห่ง ยังไม่นับรวมโรงแรมที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับบริหารเพิ่มในโอมาน และพิจารณาการเปิดโรงแรมใหม่ในซาอุดีอาระเบีย โดยพยายามโฟกัสไปที่นครเมกกะ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม และตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่ให้ผลตอบแทนเชิงธุรกิจดีที่สุดแห่งหนึ่ง
นายชนินทธ์ กล่าวว่า การออกไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ถือว่าไปด้วยตัวเอง ทางรัฐบาลไม่ได้มาช่วยเหลืออะไร ส่วนปัญหาที่เจอคือเรื่องของบุคลากร เนื่องจากคนไทยในธุรกิจนี้ไม่ชอบไปทำงานในต่างประเทศ เพราะรายได้ในประเทศไทยสูงใกล้เคียงกัน บางคนมาอยู่ 2-3 ปี ก็ขอกลับประเทศไทย ขณะที่ลูกค้าที่มาใช้บริการก็อยากได้รับบริการจากคนไทยเป็นหลัก ทำให้พนักงานหลักๆ มาจากฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ซึ่งการเติบโตของการลงทุนและบริหารงานโรงแรมในต่างประเทศก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะเติบโตขนาดนี้ ที่ทำได้เพราะชื่อเสียงประเทศไทยดีในเรื่องการให้บริการ
ส่วนสถานการณ์โรงแรมในไทยหลังจากมีปัญหาทางการเมืองทำให้กิจการไม่ขยายตัว แม้ปัจจุบันจะกลับมาปกติแต่ไม่สามารถขึ้นราคาค่าห้องพักมาตั้งแต่ปี 2550 หรือ 8 ปีมาแล้ว ขณะที่ประเทศอื่นๆ ราคาขึ้นหมด เช่น สิงคโปร์ ขึ้น 200-300% จาก 8 ปีก่อน และฮ่องกง อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพิ่มขึ้น 100% ตัวแปรใหญ่หลังจากนี้คือการที่กรมการบินพลเรือนถูกองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ตรวจสอบมาตรฐาน ซึ่งหากแก้ไขไม่ได้ก็จะกระทบกับการบินไทยซึ่งเป็นสายการบินหลักที่นำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ อาจถูกห้ามบินเหมือนที่สายการบินของอินโดนีเซียเคยโดนไป 5 ปี และต้องจับตานักท่องเที่ยวรัสเซียที่หายไปด้วย ส่วนปัญหาการเมืองตอนนี้ไม่มีอะไร
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 18 พ.ค. 2558
‘ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล’ ประกาศก้อง โรงแรมไทยไปทั่วโลก 62 แห่ง เผยต่างชาติชอบการบริการของคนไทย ชี้สถานการณ์โรงแรมในประเทศดีขึ้น แต่ขึ้นราคาไม่ได้มา 8 ปี ขณะที่เพื่อนบ้านรอบประเทศขึ้นหมดแล้ว 100-300%...
วันที่ 18 พ.ค.58 นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของโรงแรมสัญชาติไทยในต่างประเทศว่า ขณะนี้มี 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ดุสิต กรุ๊ป ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มเซ็นทารา และเครือออนิกซ์ ซึ่งมีทั้งไปลงทุนและรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศที่ชื่นชอบชื่อเสียงการบริหารและการให้บริการของคนไทย แตกต่างจากญี่ปุ่น และจีนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องการลงทุนหรือบริหารโรงแรมในต่างประเทศ ส่วนสิงคโปร์และฮ่องกงก็ถือว่าเป็นประเทศที่ทำธุรกิจนี้ในต่างประเทศได้ดี
สำหรับดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ตในเครือรวม 4 แบรนด์ คือ ดุสิตธานี ดุสิตดีทู ดุสิตปริ๊นเซส และดุสิตเดวาราณา รวมถึงดำเนินธุรกิจ ดุสิตเรสซิเดนท์ และเทวารัณย์ สปา นับจากวันแรกที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศฟิลิปปินส์ จนถึงปัจจุบันมีโรงแรม และรีสอร์ต ในเครือดุสิต 25 แห่ง โดยอยู่ในประเทศไทย 12 แห่ง และต่างประเทศ 13 แห่ง เช่น ในเมืองดูไบ เมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมืองหางโจว ประเทศจีน เกาะมัลดีฟท์ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมืองไนโรบี ประเทศเคนยา และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 25 แห่ง
พร้อมกันนี้ มีโรงแรมและรีสอร์ตกำลังจะเปิดให้บริการในต่างประเทศอีก 30 แห่ง โดยอยู่ในจีน 14 แห่ง นอกนั้นกระจายในหลายประเทศเช่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เวียดนาม สิงคโปร์ เกาะกวม สหรัฐอเมริกา ภูฏาน อินเดีย กาตาร์ และตูนิเซีย อีกทั้งมีโรงแรมและรีสอร์ตที่อยู่ในแผนการพัฒนาในต่างประเทศอีก 14 แห่ง
"ล่าสุดผมได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมในภูมิภาคเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง คือ ดุสิตธานี เจดดาห์ ในซาอุดีอาระเบีย และ ดุสิต ดีทู ซัลวา โดฮา ในกาตาร์ มีกำหนดเปิดพร้อมกันในปี 2561 และอีก 3 แห่งในสหรัฐฯ อาหรับเอมิเรตส์ จะเปิดภายในปี 2559 ได้แก่ ดุสิตธานี เรสซิเดนส์ ดูไบ มารีน่า โรงแรมดุสิต ดีทู เทคอม ดูไบ และดุสิต ดีทู เรสซิเดนส์ อัล แมนเซล อาบูดาบี ทำให้มีโรงแรมที่กำลังจะเปิดให้บริการรวม 35 แห่ง"
ฉะนั้น ถ้ารวมโรงแรมของเครือดุสิตในต่างประเทศทั้งที่มีอยู่แล้ว 13 แห่ง ทั้งที่กำลังจะเปิดให้บริการ 35 แห่ง และที่อยู่ในแผนการพัฒนา 14 แห่ง จะมีทั้งสิ้น 62 แห่ง ยังไม่นับรวมโรงแรมที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับบริหารเพิ่มในโอมาน และพิจารณาการเปิดโรงแรมใหม่ในซาอุดีอาระเบีย โดยพยายามโฟกัสไปที่นครเมกกะ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม และตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่ให้ผลตอบแทนเชิงธุรกิจดีที่สุดแห่งหนึ่ง
นายชนินทธ์ กล่าวว่า การออกไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ถือว่าไปด้วยตัวเอง ทางรัฐบาลไม่ได้มาช่วยเหลืออะไร ส่วนปัญหาที่เจอคือเรื่องของบุคลากร เนื่องจากคนไทยในธุรกิจนี้ไม่ชอบไปทำงานในต่างประเทศ เพราะรายได้ในประเทศไทยสูงใกล้เคียงกัน บางคนมาอยู่ 2-3 ปี ก็ขอกลับประเทศไทย ขณะที่ลูกค้าที่มาใช้บริการก็อยากได้รับบริการจากคนไทยเป็นหลัก ทำให้พนักงานหลักๆ มาจากฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ซึ่งการเติบโตของการลงทุนและบริหารงานโรงแรมในต่างประเทศก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะเติบโตขนาดนี้ ที่ทำได้เพราะชื่อเสียงประเทศไทยดีในเรื่องการให้บริการ
ส่วนสถานการณ์โรงแรมในไทยหลังจากมีปัญหาทางการเมืองทำให้กิจการไม่ขยายตัว แม้ปัจจุบันจะกลับมาปกติแต่ไม่สามารถขึ้นราคาค่าห้องพักมาตั้งแต่ปี 2550 หรือ 8 ปีมาแล้ว ขณะที่ประเทศอื่นๆ ราคาขึ้นหมด เช่น สิงคโปร์ ขึ้น 200-300% จาก 8 ปีก่อน และฮ่องกง อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพิ่มขึ้น 100% ตัวแปรใหญ่หลังจากนี้คือการที่กรมการบินพลเรือนถูกองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ตรวจสอบมาตรฐาน ซึ่งหากแก้ไขไม่ได้ก็จะกระทบกับการบินไทยซึ่งเป็นสายการบินหลักที่นำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ อาจถูกห้ามบินเหมือนที่สายการบินของอินโดนีเซียเคยโดนไป 5 ปี และต้องจับตานักท่องเที่ยวรัสเซียที่หายไปด้วย ส่วนปัญหาการเมืองตอนนี้ไม่มีอะไร
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 18 พ.ค. 2558