Page 1 of 1

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!

Posted: 28 May 2015, 09:31
by brid.ladawan
3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!

หลายคนอาจเคยเจอปัญหาที่ว่าท่อง Tense มาเป๊ะ จำหลักไวยากรณ์แม่นมาก แต่เมื่อถึงเวลาพูดกับฝรั่งจริงๆ แล้วทำไมไปไม่เป็น หรือนึกโครงสร้างประโยคที่ต้องใช้ไม่ออก หรือน้องๆ บางคนอยากที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษแต่ยังขาดความมั่นใจและความกล้าที่จะแสดงออก วันนี้ Life on Campus ขอนำเทคนิคมาฝากกันสำหรับคนที่อยากเก่งภาษาและอยากมีความกล้าจะที่พูดหรือสื่อสารภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องใช้ตำราใดๆ ตามมาดู 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้น้องๆ เก่งภาษากันเลย..

Step 1 : ปรับทัศนคติ (mindset)

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีคนจำนวนมากที่ทำให้หมดกำลังใจในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ คนเหล่านั้นมักมองว่าคนที่พูดชัดสำเนียงดีนั้นคือคนชอบโชว์พาว ส่วนคนที่พยายามพูดให้ชัดมักถูกมองว่าเวอร์ และคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ชัดคือคนที่อ่อนภาษา..

หลายคนคงเคยอยู่ในสภาวะที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีทัศนคติแบบนี้ ทำให้เราอายไม่อยากพูดภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่เราคิดว่าเราทำได้ดี แต่กลายเป็นว่าตัวเราเองทำให้คนเหล่านี้มากดดันเราได้ จริงอยู่ที่เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดคนเหล่านี้ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดของเราได้ด้วยการคิดว่า “เธอจะคิดอะไรก็คิดไป แต่ซักวันฉันจะเก่งภาษาอังกฤษกว่าเธอ”

หยุดคิดว่าตัวเองทำไม่ได้!!

นักลงทุนและผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จทุกคนบอกเหมือนกันว่า “ถ้าจะเริ่มลงทุนลงแรงกับอะไรซักอย่าง อย่ารอจนกว่าจะพร้อม ให้เริ่มทำตอนที่ยังไม่พร้อม” การที่เราเริ่มฝึกทักษะการฟังจากอินเตอร์เน็ต หรือการเปิดยูทูปถือว่าช่วยได้มาก ถึงแม้ในระยะเริ่มต้นผู้ฟังอาจฟังไม่ออก จับประเด็นสำคัญของผู้พูดไม่ได้ หรืออาจแปลความหมาย จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ขอแนะนำให้ลองฟังไปก่อนโดยที่ไม่ต้องรู้ความหมาย ให้หูของเราเกิดความคุ้นชินและเกิดการปรับตัว ที่สำคัญคือเลิกคิดว่าตัวเองทำไม่ได้หากยังไม่ได้ลองทำก่อน


จำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องฝึกเหมือนคนอื่น

หลายคนอาจเคยถามหรือถามคนอื่นกันอยู่แล้วว่า ฝึกภาษากันยังไง เรียนเพิ่มเติมที่ไหน คนเรามีความสามารถในการรับรู้ต่างกัน และมีความถนัดต่างกัน เวลาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องลองวิเคราะห์ดูว่าเราเหมาะที่จะฝึกแบบไหนมากกว่า เช่น หากใครชอบฟังเพลง อาจจะหาเพลงสากลที่ชอบมาเปิดเนื้อเพลงดูตามไปด้วย ซึ่งนอกจากจะได้รู้ความหมาย ได้คำศัพท์จากบทเพลงแล้ว ยังทำให้เราเข้าถึงความหมายเพลงได้ดีกว่าเดิมด้วย

สรุปสิ่งที่ควรและไม่ควรทำเพื่อที่จะเก่งภาษาอังกฤษ..

DOs
-กล้าที่จะพูด
-อย่ากลัวที่จะถาม
-มองในแง่ดี คนที่เก่งภาษาทุกคนเริ่มต้นจาก 0

DON’Ts
-คิดว่าตัวเองอ่อน ไม่มีพรสวรรค์
-คิดว่าทำไม่ได้หรอก ยากเกินไป แค่ภาษาไทยยังไม่รอด
-ไม่กล้าพูด กลัวคนรอบข้างหาว่ากระแดะ

Step 2 : เตรียมเครื่องมือการฝึก

สิ่งที่คุณต้องมี..
- Internet
- คอมพิวเตอร์ / มือถือ
- Google account
- Google Dictionary Chrome Extension

แน่นอนว่าเครื่องมือการฝึกในสองข้อแรกทุกคนต้องมีกันอยู่แล้ว สำรหรับ Google account ก็มีให้สมัครฟรี และสำหรับ Google Dictionary Chrome Extension ก็สมัครใช้ฟรีเพียงแค่มี Chrome เท่านั้น การฝึกภาษาที่ดีควรมีการจดบันทึก ดังนั้นเทคนิคในการจดคำศัพท์ที่น่าสนใจคือจะต้องจดได้ทุกที่ สามารถเปิดออกดูได้ทุกที่ทุกเวลา และต้องใช้งานง่าย

การที่เราต้องพกสมุดกับปากกาไปทุกที่คงเกิดความไม่สะดวก การค้นหาคำศัพท์ที่เคยเจอแล้วก็ยาก เพราะฉะนั้นเราจึงใช้งานจากสิ่งที่เราพกไปทุกที่นั้นคือ โทรศัพท์มือถือด้วยการใช้ google doc แทนสมุดปากกาต่อไปนี้คือตัวอย่างสมุดจดศัพท์ส่วนตัวของเจ้าของบทความ

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
Docs ใน Google เป็นสมุดจดคำศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีมากๆ ใช้งานฟรี สามารถเก็บไว้ใช้ส่วนตัวหรือแชร์ให้คนอื่นด้วยก็ได้ แต่คนส่วนมากไม่ทราบกัน วิธีการใช้งานตัวนี้คือเข้าไปใน Docs.google.com สำหรับคนที่มี Google account แล้วสามารถ login ได้เลย ส่วนคนที่ยังไม่มีให้สมัครก่อน

เมื่อเข้าไปแล้ว ให้เราคลิก Create เลือก Spreadsheet จากนั้นเราจะมาสร้าง File คล้าย Excel เอาไว้จดคำศัพท์กัน

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
เสร็จแล้วเราก็จะได้ File ที่เหมือนกับ Excel มา 1 Fileให้เราทำเป็น 3 Column คือ Word Example และ Translation (อย่าลืมเปลี่ยนชื่อ file นะคะ เป็นชื่ออะไรก็ได้)

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
ถ้ามองไปด้านล่างจะเห็น Tab ที่เรียกว่า Sheet 1 อยู่ ให้เราคลิก แล้วเลือก Duplicate เพื่อก๊อบหน้านี้ให้มีอีก 6 หน้าใน File เดียว เราจะเอา Tab พวกนี้ใช้ในการแยกจดศัพท์ตาม Alphabet

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
เมื่อได้เป็น 6 Tab แล้วให้ Double Click เพื่อเปลี่ยนชื่อ Tab ตามรูปค่ะ

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
สังเกตุได้ว่า Tab สุดท้ายชื่อว่า Interesting Sentences เอาไว้จดประโยคที่น่าสนใจ ให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบ excel เปลี่ยนจาก Column เป็น Sentence กับ Translation

3 Steps เก่งภาษา..แบบไม่ต้องพึ่งตำรา!!
เพียงแค่นี้เราก็ได้สมุดจดที่เราใช้จด หรือเปิดดูที่ไหนก็ได้แล้วค่ะ (สำหรับการ save ให้กด ctrl + s )

เมื่อมีสมุดจดศัพท์แล้ว ควรตั้งกฏสำหรับการใช้งานด้วย

1. จด “ทุกครั้ง” ที่เจอศัพท์แปลกๆและน่าสนใจ …

2. หาตัวอย่างของการใช้งานมาด้วย … ช่อง Example สำคัญมาก บางคนไม่ให้ความสนใจ คิดว่าจำศัพท์อย่างเดียวพอ แต่ความจริงคือสมองคนเราจะจำได้แม่นถ้าเราจำผ่านความเข้าใจค่ะ ตัวอย่างของการใช้งานจะทำให้เราเข้าใจรูปแบบการใช้ สมมติไปเจอคำว่า Screw แต่จดแค่คำแปล ซึ่งแปลว่าสลักเกลียว (หรือสกรูถ้าเรียกทับศัพท์) แต่จริงๆแล้ว screw เป็นคำด่าก็ได้เช่นกัน ถ้าเรามาเปิดอีกทีโดยไม่มีตัวอย่าง เราอาจจะจำคำแปลได้แบบเดียว ส่วนอีกแบบหนึ่ง ลืมไปแล้วว่ามีความหมายหรือใช้งานยังไง

3. เวลาไปเจอคำศัพท์เดิมที่ผ่านตามาแต่จำไม่ได้ ให้เปิดดูทุกครั้ง “ทันที”
หลายครั้งที่เราเจอคำศัพท์แล้วรู้ว่าเคยเจอแต่จำคำแปลไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองลืมคำแปลแบบนั้นต่อไป ให้เปิดดู docs ที่เราสร้างขึ้นมาทันทีพร้อมทบทวนตัวอย่าง จะทำให้เราจดจำได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
**ทุกข้อที่ว่ามา มีข้อแม้นิดเดียวว่า ต้องทำ “ทันที” เพื่อทำให้เราจำได้ดีขึ้น**

Step 3 : การฝึก

การฝึกสามารถฝึกได้จากหลายช่องทาง ทั้งการฝึกฝนจากเพลงสากลที่ชอบฟัง ฝึกฝนจากการรับชมวิดีโอทางยูทูป ฝึกฝนจากการดูหนังหรือซีรีย์ ซึ่งการดูซีรีย์ที่เจ้าของบทความแนะนำคือควรดูแบบรอบแรกเป็น soundtrack + subtitle ภาษาไทย ดูให้รู้เนื้อเรื่องจับใจความให้ได้ ส่วนรอบที่สองให้ดูแบบ soundtrack + subtitle ภาษาอังกฤษ รอบนี้ดูเอาคำศัพท์ที่น่าสนใจ ไม่จำเป็นต้องจดทุกคำที่เจอ จดคำที่คิดว่าน่าสนใจและน่าจะมีโอกาสเอาไปใช้

การท่องเว็บที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษมีส่วนช่วยในการฝึกฝนทักษะทางด้านภาษาเราได้ด้วยเช่นกัน เช่น การฝึกจากเพจเกี่ยวกับภาษา คือให้เน้นอ่านและจำตัวอย่างที่เราสนใจ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องจำได้ในครั้งแรก พอมาเจอครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 จะจำได้เอง ซึ่งอาจจะใช้วิธีการเข้ามาดูเพจบ่อยๆ และทบทวนตัวเองว่าจำได้หรือไม่ อย่างในเพจของอาจารย์ Adam ที่มีการยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ อ่านง่าย เข้าใจง่าย มีคำแปล รวมถึงมีคลิปการใช้งานภาษาอังกฤษที่เป็นประโยชน์และสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันนั้นเอง

ขอบคุณข้อมูลจากเจ้าของกระทู้ : http://pantip.com/topic/31927561





ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 27 พฤษภาคม 2558