ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เรื่องที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์ ศิ
Posted: 08 Jul 2014, 12:26
ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เรื่องที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์ ศิลป์ และใจ
ระยะนี้มีเรื่องที่พูดกันมากในวงการศึกษาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องการแยกวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองจากกลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษาออกมาเป็นวิชาเดี่ยว ๆ ที่มีหน่วยกิตเป็นเอกเทศ เพื่อช่วยให้คนไทยทุกเพศทุกวัยมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความสามัคคีปรองดองกัน ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อคิดและแนวนโยบายทางการศึกษาของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ผู้เขียนมีความเห็นว่าการแยกวิชาทั้งสองออกมามีส่วนไม่น้อยในการทำให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมาย แต่ผู้ที่ช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ก็คือครูผู้สอนซึ่งมีทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลจนเกิดเป็น “ความรู้สึกหรือจิตวิญญาณ” ของความรักและหวงแหนชาติ ศาสนา และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมเป็นตัวชี้วัดด้วย
ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ มา 82 ปี และก็เพิ่งจะผ่านการรัฐประหารอันเนื่องมาจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางการเมืองไปหยก ๆ สภาวการณ์ดังกล่าวมาจากสาเหตุสองประการ ประการแรกคือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในบ้านเมืองที่เพิ่มมากขึ้น กระตุ้นให้ผู้คนแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม ทำให้เกิดคอร์รัปชั่นหรือการทุจริตคิดมิชอบมากมายทั้งในและนอกระบบราชการ ประการที่สองคือการที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในคุณลักษณะและคุณค่าของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อาจมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้จัก เข้าใจ แต่ไม่นำไปใช้หรือนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลเสียต่อประเทศชาติ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะประชาชนขาดการเรียนรู้สองวิชานี้ก็ไม่ใช่อีก เพราะเรามีการเรียนการสอนสองวิชานี้มานานแล้ว รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมหลักสูตร เนื้อหาวิชาและกระบวนการเรียนการสอนมาโดยตลอด แต่อาจยังไม่เพียงพอและยังไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็ได้ ดังนั้นจึงควรมาช่วยกันพิจารณาเติมเต็มหรือพัฒนาในหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาวิชาหรือเรื่องการสร้างสื่อที่มีคุณภาพและที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของกระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะกล่าวในภาพรวมดังนี้
ถ้าจะพูดกันตรง ๆ วิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาที่มีเนื้อหามากมาย ซึ่งไม่น่าสนใจและน่าเบื่อ เพราะต้องท่องจำ พ.ศ.ของเหตุการณ์ในอดีต ต้องพยายามจดจำพระนามของบูรพมหากษัตริย์ที่คล้ายคลึงกันและยาวมากจดจำยาก ต้องเรียนรู้เรื่องระบบการปกครองต่าง ๆ แล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ(ซึ่งรวมกันแล้วก็เกือบ 30 หัวข้อ)และอื่นๆอีกมากมาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องปรับวิธีนำเสนอเนื้อหาให้กระชับ น่าสนใจ น่าเรียนรู้ และไม่เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ให้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ที่มีแต่เนื้อหาแน่นขนัด ไม่เขียนหนังสือหน้าที่พลเมืองให้เหมือนหนังสือกฎหมายและไม่ควรเรียนอยู่แต่ในห้องเรียน แต่ควรมีกระบวนการเรียนการสอนภาคปฏิบัตินอกห้องเรียนให้มากขึ้น ด้วยกิจกรรมที่หลากหลายอันจะทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมด้วยตนเองจริง ๆ เช่น การพานักเรียนไปทัศนศึกษาชมโบราณสถานในประวัติศาสตร์ การชมละครหรือภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ (อย่างที่ คสช. เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ฟรี) การเรียนและค้นคว้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การไปชมพิพิธภัณฑ์ การอภิปราย การจัดนิทรรศการ การแข่งขันตอบคำถาม หรือเขียนเรียงความ ส่วนวิชาหน้าที่พลเมืองก็ให้มีการเลือกตั้งผู้แทนนักเรียน การตั้งสภานักเรียน และมีการร่วมมือกับองค์กรหรือชุมชนเพื่อทำกิจกรรมจิตอาสาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมซึ่งมีมากมายให้เลือกทำ หรือการไปออกค่าย ไปสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน แต่ถ้ายังไม่สะดวกสำหรับนักเรียนบางวัยก็อาจจะให้ทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น พาไปดู ไปค้นคว้าวิถีชีวิตของมด หรือผึ้ง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำหน้าที่ก็ได้ โดยมีคุณครูผู้สอนที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์คอยดูแลและให้คำแนะนำ
พอพูดถึงครูก็ขออนุญาตเล่าเรื่องจริงสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก เมื่ออายุ 12-13 ขวบ โชคร้ายเป็น “ฝี” ขนาดใหญ่ที่แขนซ้าย คุณแม่ได้ซื้อ “กอเอี๊ยะ” ยาจีนซึ่งเป็นกระดาษสีขาวแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางมียาสีดำเหนียวๆ มาแปะที่ฝีเพื่อดูดหนอง และบรรเทาอาการปวด ก่อนจะให้ไปโรงเรียน คุณครูถามด้วยความห่วงใยในห้องเรียนซึ่งกำลังจะสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยว่า ปวดมากไหม ก็ตอบท่านว่า ปวดมากค่ะ คุณครูบอกว่า เห็นเธอเป็นฝีอย่างนี้แล้วอยากให้นักเรียนทุกคนนึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนที่เสด็จไปทำศึกที่หัวเมืองเหนือ พระองค์ท่านประชวรด้วยฝีระลอกขนาดใหญ่ที่พระพักตร์และสิ้นพระชนม์ ในที่ซึ่งห่างไกลทุรกันดาร คิดดูเถิดว่า ทรงมีแต่ความทุกข์ยากลำบากตลอดพระชนม์ชีพ นับตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวประกัน แต่ก็ทรงบากบั่นต่อสู้และสละพระชนม์ชีพเพื่อกู้ชาติกลับคืนมาได้ แล้วยังเสด็จไปทำศึกหรือทำหน้าที่เพื่อชาติอีก จนสิ้นพระชนม์ในป่าเขาลำเนาไพรที่ไกลแสนไกล จุดนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกซาบซึ้งและชอบวิชานี้มาก เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย จึงเลือกเป็นวิชาเอก และเมื่อสอนนักเรียนซึ่งอาจมีเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ต่างกันก็บอกเขาว่า พวกเรามีรากเหง้าเดียวกัน คือมี “ความเป็นไทย” (Thainess หรือ Being Thai) เหมือนกัน และมี “ความเป็นชาติ” (Nationhood) เดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องรักสามัคคีปรองดองกันเพื่อชาติของเรา อีกอย่างหนึ่งพวกเราต้องยอมรับข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีทั้งบวกและลบว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่มีมนุษย์ปุถุชนคนใดที่จะทำถูกหรือทำผิดทุกอย่าง เราต้องพิจารณาแยกแยะให้เป็นแล้วนำตัวอย่างที่ดีมาใช้เป็นเรื่องๆ ไป
สำหรับวิชาหน้าที่พลเมืองก็ขอเสนอว่า ก่อนอื่นคุณครูควรทำให้นักเรียนเข้าใจถึงความสำคัญและความหมายว่า “พลเมือง” คือพละกำลังอันแข็งแกร่งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง รวมทั้งให้เขาทราบว่า คนเราทุกคนมีสิ่งที่ต้องทำหรือ “หน้าที่” มาตั้งแต่เราเกิดอยู่ในครรภ์มารดา เพราะอวัยวะทุกอย่างของเราจะทำหน้าที่โดยธรรมชาติให้เราเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำหน้าที่เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัวและเพื่อสังคมซึ่งมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน และสอนให้เขามีคุณธรรมและจริยธรรมด้วยธรรมะ หรือคำสอนของทุกศาสนา ที่สอนให้คนเป็นคนดีและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศาสนาซึ่งมีธรรมะหลายหมวดหลายข้อที่สอนให้เราทำหน้าที่ของมนุษย์ที่ดีในสังคม เช่น ฆราวาสธรรม และทิศหก อันบอกถึงหน้าที่ซึ่งควรปฏิบัติต่อบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ที่สำคัญที่สุดคือต้องแนะนำเขาด้วยว่า การมีความรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่นั้น อย่าทำเพียงเพราะมีระเบียบกฎเกณฑ์บังคับ หรือทำตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้เท่านั้น แต่ต้องทำด้วยจิตใจที่ประกอบด้วยความเมตตาเกื้อกูลและความมีจิตอาสา ซึ่งเป็นพื้นฐานและคุณลักษณะของคนไทยอยู่แล้ว บ้านเมืองจึงจะมีความสุขความเจริญ
ขอวิงวอนให้คนไทยทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพครู มาช่วยกันใช้ศาสตร์ ศิลป์ และน้ำใจ ทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าของบ้านเมืองกันเถิด
ประพีร์พรรณ ภาณวะวัฒน์
กรรมการบริหารชมรมข้าราชการ
และครูอาวุโสของกระทรวงศึกษาธิการ
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 8 กรกฎาคม 2557
ระยะนี้มีเรื่องที่พูดกันมากในวงการศึกษาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องการแยกวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองจากกลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษาออกมาเป็นวิชาเดี่ยว ๆ ที่มีหน่วยกิตเป็นเอกเทศ เพื่อช่วยให้คนไทยทุกเพศทุกวัยมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความสามัคคีปรองดองกัน ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อคิดและแนวนโยบายทางการศึกษาของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ผู้เขียนมีความเห็นว่าการแยกวิชาทั้งสองออกมามีส่วนไม่น้อยในการทำให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมาย แต่ผู้ที่ช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ก็คือครูผู้สอนซึ่งมีทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลจนเกิดเป็น “ความรู้สึกหรือจิตวิญญาณ” ของความรักและหวงแหนชาติ ศาสนา และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมเป็นตัวชี้วัดด้วย
ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ มา 82 ปี และก็เพิ่งจะผ่านการรัฐประหารอันเนื่องมาจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางการเมืองไปหยก ๆ สภาวการณ์ดังกล่าวมาจากสาเหตุสองประการ ประการแรกคือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในบ้านเมืองที่เพิ่มมากขึ้น กระตุ้นให้ผู้คนแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม ทำให้เกิดคอร์รัปชั่นหรือการทุจริตคิดมิชอบมากมายทั้งในและนอกระบบราชการ ประการที่สองคือการที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในคุณลักษณะและคุณค่าของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อาจมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้จัก เข้าใจ แต่ไม่นำไปใช้หรือนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลเสียต่อประเทศชาติ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะประชาชนขาดการเรียนรู้สองวิชานี้ก็ไม่ใช่อีก เพราะเรามีการเรียนการสอนสองวิชานี้มานานแล้ว รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมหลักสูตร เนื้อหาวิชาและกระบวนการเรียนการสอนมาโดยตลอด แต่อาจยังไม่เพียงพอและยังไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็ได้ ดังนั้นจึงควรมาช่วยกันพิจารณาเติมเต็มหรือพัฒนาในหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาวิชาหรือเรื่องการสร้างสื่อที่มีคุณภาพและที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของกระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะกล่าวในภาพรวมดังนี้
ถ้าจะพูดกันตรง ๆ วิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาที่มีเนื้อหามากมาย ซึ่งไม่น่าสนใจและน่าเบื่อ เพราะต้องท่องจำ พ.ศ.ของเหตุการณ์ในอดีต ต้องพยายามจดจำพระนามของบูรพมหากษัตริย์ที่คล้ายคลึงกันและยาวมากจดจำยาก ต้องเรียนรู้เรื่องระบบการปกครองต่าง ๆ แล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ(ซึ่งรวมกันแล้วก็เกือบ 30 หัวข้อ)และอื่นๆอีกมากมาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องปรับวิธีนำเสนอเนื้อหาให้กระชับ น่าสนใจ น่าเรียนรู้ และไม่เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ให้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ที่มีแต่เนื้อหาแน่นขนัด ไม่เขียนหนังสือหน้าที่พลเมืองให้เหมือนหนังสือกฎหมายและไม่ควรเรียนอยู่แต่ในห้องเรียน แต่ควรมีกระบวนการเรียนการสอนภาคปฏิบัตินอกห้องเรียนให้มากขึ้น ด้วยกิจกรรมที่หลากหลายอันจะทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมด้วยตนเองจริง ๆ เช่น การพานักเรียนไปทัศนศึกษาชมโบราณสถานในประวัติศาสตร์ การชมละครหรือภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ (อย่างที่ คสช. เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ฟรี) การเรียนและค้นคว้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การไปชมพิพิธภัณฑ์ การอภิปราย การจัดนิทรรศการ การแข่งขันตอบคำถาม หรือเขียนเรียงความ ส่วนวิชาหน้าที่พลเมืองก็ให้มีการเลือกตั้งผู้แทนนักเรียน การตั้งสภานักเรียน และมีการร่วมมือกับองค์กรหรือชุมชนเพื่อทำกิจกรรมจิตอาสาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมซึ่งมีมากมายให้เลือกทำ หรือการไปออกค่าย ไปสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน แต่ถ้ายังไม่สะดวกสำหรับนักเรียนบางวัยก็อาจจะให้ทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น พาไปดู ไปค้นคว้าวิถีชีวิตของมด หรือผึ้ง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำหน้าที่ก็ได้ โดยมีคุณครูผู้สอนที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์คอยดูแลและให้คำแนะนำ
พอพูดถึงครูก็ขออนุญาตเล่าเรื่องจริงสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก เมื่ออายุ 12-13 ขวบ โชคร้ายเป็น “ฝี” ขนาดใหญ่ที่แขนซ้าย คุณแม่ได้ซื้อ “กอเอี๊ยะ” ยาจีนซึ่งเป็นกระดาษสีขาวแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางมียาสีดำเหนียวๆ มาแปะที่ฝีเพื่อดูดหนอง และบรรเทาอาการปวด ก่อนจะให้ไปโรงเรียน คุณครูถามด้วยความห่วงใยในห้องเรียนซึ่งกำลังจะสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยว่า ปวดมากไหม ก็ตอบท่านว่า ปวดมากค่ะ คุณครูบอกว่า เห็นเธอเป็นฝีอย่างนี้แล้วอยากให้นักเรียนทุกคนนึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนที่เสด็จไปทำศึกที่หัวเมืองเหนือ พระองค์ท่านประชวรด้วยฝีระลอกขนาดใหญ่ที่พระพักตร์และสิ้นพระชนม์ ในที่ซึ่งห่างไกลทุรกันดาร คิดดูเถิดว่า ทรงมีแต่ความทุกข์ยากลำบากตลอดพระชนม์ชีพ นับตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวประกัน แต่ก็ทรงบากบั่นต่อสู้และสละพระชนม์ชีพเพื่อกู้ชาติกลับคืนมาได้ แล้วยังเสด็จไปทำศึกหรือทำหน้าที่เพื่อชาติอีก จนสิ้นพระชนม์ในป่าเขาลำเนาไพรที่ไกลแสนไกล จุดนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกซาบซึ้งและชอบวิชานี้มาก เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย จึงเลือกเป็นวิชาเอก และเมื่อสอนนักเรียนซึ่งอาจมีเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ต่างกันก็บอกเขาว่า พวกเรามีรากเหง้าเดียวกัน คือมี “ความเป็นไทย” (Thainess หรือ Being Thai) เหมือนกัน และมี “ความเป็นชาติ” (Nationhood) เดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องรักสามัคคีปรองดองกันเพื่อชาติของเรา อีกอย่างหนึ่งพวกเราต้องยอมรับข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีทั้งบวกและลบว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่มีมนุษย์ปุถุชนคนใดที่จะทำถูกหรือทำผิดทุกอย่าง เราต้องพิจารณาแยกแยะให้เป็นแล้วนำตัวอย่างที่ดีมาใช้เป็นเรื่องๆ ไป
สำหรับวิชาหน้าที่พลเมืองก็ขอเสนอว่า ก่อนอื่นคุณครูควรทำให้นักเรียนเข้าใจถึงความสำคัญและความหมายว่า “พลเมือง” คือพละกำลังอันแข็งแกร่งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง รวมทั้งให้เขาทราบว่า คนเราทุกคนมีสิ่งที่ต้องทำหรือ “หน้าที่” มาตั้งแต่เราเกิดอยู่ในครรภ์มารดา เพราะอวัยวะทุกอย่างของเราจะทำหน้าที่โดยธรรมชาติให้เราเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำหน้าที่เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัวและเพื่อสังคมซึ่งมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน และสอนให้เขามีคุณธรรมและจริยธรรมด้วยธรรมะ หรือคำสอนของทุกศาสนา ที่สอนให้คนเป็นคนดีและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศาสนาซึ่งมีธรรมะหลายหมวดหลายข้อที่สอนให้เราทำหน้าที่ของมนุษย์ที่ดีในสังคม เช่น ฆราวาสธรรม และทิศหก อันบอกถึงหน้าที่ซึ่งควรปฏิบัติต่อบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ที่สำคัญที่สุดคือต้องแนะนำเขาด้วยว่า การมีความรับผิดชอบหรือการทำหน้าที่นั้น อย่าทำเพียงเพราะมีระเบียบกฎเกณฑ์บังคับ หรือทำตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้เท่านั้น แต่ต้องทำด้วยจิตใจที่ประกอบด้วยความเมตตาเกื้อกูลและความมีจิตอาสา ซึ่งเป็นพื้นฐานและคุณลักษณะของคนไทยอยู่แล้ว บ้านเมืองจึงจะมีความสุขความเจริญ
ขอวิงวอนให้คนไทยทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพครู มาช่วยกันใช้ศาสตร์ ศิลป์ และน้ำใจ ทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าของบ้านเมืองกันเถิด
ประพีร์พรรณ ภาณวะวัฒน์
กรรมการบริหารชมรมข้าราชการ
และครูอาวุโสของกระทรวงศึกษาธิการ
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 8 กรกฎาคม 2557